ข้อความต้นฉบับในหน้า
1.) ปฏิจจสมุปบาทแบบข้ามภพข้ามชาติ
ในแง่ข้ามภพข้ามชาติ เราสามารถมองวงจรของปฏิจจสมุปบาทได้ ดังนี้
- ข้ามภพข้ามชาติจากอดีตมาสู่ปัจจุบัน
การที่เราเวียนว่ายตายเกิดอยู่นี้ก็เพราะมีอวิชชาเป็นราก ทำให้เกิดการสร้างกรรมที่
ข้ามชาติมา เกิดเป็นดวงบุญ ดวงบาป ดวงไม่บุญไม่บาป หรือที่เรียกว่า ปุญญาภิสังขาร
อปุญญาภิสังขาร และอเนญชาภิสังขาร เมื่อยังมีดวงบุญดวงบาปที่ยังส่งผล ก็ทำให้เกิดมีปฏิสนธิ
วิญญาณส่งให้ไปเกิดในภพต่างๆ
เมื่อปฏิสนธิวิญญาณเข้ามาในครรภ์มารดา ก็ทำให้ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์
เกิดเป็นนามรูป แล้วมีสฬายตนะ โดยที่ในตอนแรกสฬายตนะจะรวมเป็นจุดเดียวกัน แต่เมื่อ
ร่างกายเติบโตขึ้น สฬายตนะก็แยกออกไปตามฐานต่างๆ แล้วเกิดการรับรู้แม้ว่าอยู่ในครรภ์มารดา
กระทั่งคลอดออกมาจากครรภ์มารดา แล้วเกิดการรับรู้ เกิดเป็นเวทนา ทำให้กิเลส
ฟุ้งขึ้นมาเกิดเป็นตัณหา ฟุ้งมากเข้า มองอะไรไม่ชัด หลงไปยึดมั่นถือมั่นจึงกลายเป็นอุปาทาน
ก็ทำให้ความรู้สึกเกิดความมีความเป็นขึ้นมาว่าเป็นนั่นเป็นนี่ เช่น เป็นนายกฯ เป็นนายพล เป็น
นายพัน เป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นต้น และในตอนท้ายตัวชาติ ชรา มรณะ ก็ทำให้เกิด การเวียนว่าย
ตายเกิดต่อไปในอนาคต นี่คือการอธิบายแบบข้ามภพข้ามชาติจากอดีตมาสู่ปัจจุบัน
- ข้ามภพข้ามชาติปัจจุบันไปสู่อนาคต
หากจะแบ่งไปแล้วสิ่งที่ติดมาข้ามภพข้ามชาติจนทำให้เกิดตัวของเราในปัจจุบันนี้ จะ
มาถึงแค่เวทนา คือเป็นกิเลส กรรมวิบาก ที่ติดข้ามภพข้ามชาติมาแล้ว ที่ทำให้เกิดกิเลสในปัจจุบัน
ก็คือ ตัณหา อุปาทานเพราะเกิดจากการฟูขึ้นของกิเลสที่เกิดจากการไปรับรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส
แล้วทำให้เกิดความรู้สึก เกิดการสร้างกรรมใหม่ แล้วเกิดเป็นวิบากต่อไปในอนาคตข้างหน้าอีก
เลส
กรรม
ข้ามภพข้ามชาติอดีตมาสู่ปัจจุบัน
อวิชชา คือ กิเลส
สังขาร คือ กรรม
วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา คือ วิบาก
วิบาก
252 DOU สมาธิ 8 วิ ปั ส ส น า กัมมัฏฐาน