ข้อความต้นฉบับในหน้า
เหง้าขวาสุด นี่เป็นอีกเหง้าหนึ่งของกิเลส เรียกว่าเหง้าโมหะ เป็นกิเลสจำพวกทำให้
จิตโง่เขลา เมื่อเทียบกับเหง้าอื่นๆ แล้ว เหง้านี้ ใหญ่ อ้วน รากก็ลึก ไปสุดเอาที่อวิชชา
จากภาพเราจะเห็นได้อีกว่า รากเหง้าของกิเลสก็คืออวิชชา ที่ทำให้เราฟุ้งซ่านอยู่ทุกวัน
ทำให้เรามองอะไรไม่ชัด ไม่รู้จักบุญ ไม่รู้จักบาป ไม่รู้จักคุณ ไม่รู้จักโทษ ความไม่รู้นี้จะทำให้
เกิดปฏิกิริยาอย่างหนึ่ง ก็คือ อุทธัจจะ ความฟุ้งซ่าน เมื่อความฟุ้งซ่านเข้ามาอยู่ในใจแล้ว ทำให้
เกิดเป็นตัวมานะ ตัวมานะ เมื่อไม่ยึดไม่ถือแล้วทำให้แตกออกเป็น 3 สาย สายแรกเรียกว่า
สายโลภะ สายตรงกลางเรียกว่า โทสะ สายที่สามเรียกว่า สายโมหะ ทั้งสามสายนี้ก็มี
ความแก่ความอ่อน เช่น โลภะ อยากได้ของผู้อื่น มีอภิชฌา เป็นต้น โทสะความโกรธ มี อุปนาหะ
เป็นต้น โมหะ ความหลง ยึดถือปฏิบัติผิดว่าถูก เป็นต้น
โดยสรุปแล้ว จิตของคนเราอยู่ในฐานะไม่รู้สัจธรรม ไม่รู้เหตุผลแห่งการเวียนว่าย
ตายเกิด ความไม่รู้นี้เป็นกิเลสอย่างหนึ่งเรียกว่า อวิชชา คือ ความไม่รู้ ซึ่งเป็นรากเหง้าของกิเลส
ทั้งหลาย กิเลสทั้งสามตระกูล แต่ละตระกูลก็มีลูกกิเลสหลานกิเลสอีกมากมาย กิเลส แต่ละสาย
จะเริ่มฟักตัวขึ้นจากจุดละเอียด แล้วค่อย ๆ ทวีความรุนแรง คือ หยาบขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งออก
มาทางการกระทำ การพูดและการคิด ซึ่งเรียกว่า กรรม
2.5 ระดับของกิเลส
กิเลสทั้ง 3 ตระกูล ในแต่ละตระกูล แต่ละสาย มีระดับความเข้มข้นของความหยาบ
และละเอียดที่แตกต่างกัน โดยมีตั้งแต่ระดับที่นอนเนื่องอยู่ในขันธสันดานของสัตว์ทั้งหลาย
เร้นลับ ไม่ปรากฏออกมาทางใด ไม่สามารถเห็นด้วยดวงตาธรรมดาของปุถุชนทั่วไป แต่เห็นได้
ด้วยดวงตาของธรรมกาย กระทั่งถึงระดับที่ปรากฏเกิดขึ้นทางใจเมื่อมีอารมณ์ต่าง ๆ มากระทบ
ทางทวารต่าง ๆ หรือมีกำลังแรงมาก สามารถบังคับครอบงำให้ประพฤติล่วงปรากฏออกมาทาง
กายและวาจา ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 3 ระดับ คือ
1.อนุสัยกิเลส คือ กิเลสนอนเนื่องอยู่ในขันธสันดานของสัตว์ทั้งหลายอย่างเร้นลับ
ไม่ปรากฏออกมาทางใด
2. ปริยุฏฐานกิเลส คือ กิเลสที่เปลี่ยนสภาพมาจากอนุสัยกิเลส ปรากฏเกิดขึ้นทางใจ
เมื่อมีอารมณ์ต่างๆ มากระทบทางทวารต่าง ๆ
3. วีติกามกิเลส คือ กิเลสที่เปลี่ยนสภาพมาจากปริยุฏฐานกิเลสที่มีกำลังแรงมาก
ล่วงออกมาทางกายและวาจา
บ ท ที่ 2 กิเลส DOU 35