ข้อความต้นฉบับในหน้า
เราจะรู้ได้ว่า กิเลสที่เป็นความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นอย่างไร ถ้าเรามองด้วย
ธรรมจักขุของธรรมกายแล้ว เราจะรู้ได้ว่าดวงดำๆ นี้เป็นกิเลสโดยการรู้รสของกิเลสนั้น ๆ
ยกตัวอย่างเช่นเราดื่มน้ำโอเลี้ยงกับทานน้ำปลา หรือซีอิ้ว สีดำเหมือนกัน แต่เวลาชิมแล้วรสชาติ
ไม่เหมือนกัน
งนั้นไม่ว่าธรรมหรืออธรรมล้วนแต่มีรสทั้งสิ้นดังที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ในธรรมว่า
“ธมฺมรโส สพฺพรสํ ชินาติ แปลความว่า รสแห่งธรรมชนะรสทั้งปวง” เวลาเข้าถึงดวงธรรม
ต่าง ๆ ดวงปฐมมรรค ดวงศีล ดวงสมาธิ ดวงปัญญา ดวงวิมุติ ดวงวิมุติญาณทัสสนะ ดวงทั้งหมด
ก็มีเป็นดวงใสๆ หมด จะรู้ได้ว่าดวงแต่ละดวงต่างกันก็ดูที่รส เมื่อเข้าไปเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
กับดวงนั้นแล้ว ก็จะรู้ถึงรส หรือความรู้สึกว่านี่แหละคือรสแห่งศีล นี่แหละคือรสแห่งสมาธิ ฯลฯ
จะรู้ขึ้นมาเอง เมื่อลิ้มรสของดวงธรรมนั้น เหมือนกับเราดื่มโอเลี้ยง เราก็รู้ว่านี่คือโอเลี้ยง
เมื่อรับประทานน้ำปลา เราก็รู้ว่านี่คือน้ำปลา เมื่อทานซีอิ๊วเราก็รู้ว่านี่คือซีอิ้ว
นอกจากนี้เวลากิเลสครอบงำใจมนุษย์จะทราบว่าเป็นกิเลสตัวใดได้ด้วยสังเกตที่เบาะ
น้ำเลี้ยงหัวใจ เมื่อมองด้วยธรรมจักขุของพระธรรมกาย จะพบว่า ในหัวใจของเรามีน้ำเลี้ยงหัวใจ
ในน้ำเลี้ยงหัวใจมีดวงจิตลอยอยู่ เมื่อกิเลสเข้ามาบังคับใน ศูนย์กลางกายทำให้น้ำเลี้ยงหัวใจมีสี
แตกต่างกันออกไป ถ้าเป็นความโลภเข้ามาบังคับทำให้น้ำเลี้ยงหัวใจเปลี่ยนเป็นสีแดง ถ้าเป็น
ความโกรธเข้ามาบังคับทำให้น้ำเลี้ยงหัวใจเปลี่ยนเป็นสีเขียว ถ้าเป็นความหลงเข้ามาบังคับทำให้
น้ำเลี้ยงหัวใจเปลี่ยนเป็นสีเหมือนน้ำล้างเนื้อ ดังนั้น สีของน้ำเลี้ยงหัวใจจะเปลี่ยนไปตามกิเลสที่
เข้ามาบังคับในศูนย์กลางกาย
2.8 ทุกข์โทษภัยจากกิเลส
สิ่งที่ทำให้ใจเศร้าหมอง ชั่วร้าย ตกต่ำลำบาก คอยแต่เบียดเบียนทำลาย แผดเผา
ก่อให้เกิดทุกข์โทษภัยแก่ใจ ดังที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ว่า “โลภะ โทสะและโมหะ เกิดแล้วในตน
ย่อมเบียดเบียนบุรุษผู้มีจิตอันลามก เหมือนขุยของตน ย่อมเบียดเบียนไม้ไผ่ ฉะนั้น”
91
จากพุทธพจน์บทนี้ จะพิจารณาเห็นได้ว่า กิเลส เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นแ
ฝังตัวอยู่ในใจของทุกคนมาตั้งแต่เกิด ถ้ามีสิ่งเร้ามากระตุ้นก็จะกำเริบขึ้นแล้วแผ่ขยายตัวออก
ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ ติกนิบาต, อรรถกถา มก. เล่ม ที่ 45 ข้อ 228 หน้า 338.
บ ท ที่ 2 กิเลส
DOU 39