ข้อความต้นฉบับในหน้า
กรรมหรือการกระทำ จึงต้องมีพื้นฐานจากเรื่องของเจตนา
เจตนา หมายถึง สภาพความนึกคิดที่มีความจงใจเป็นสิ่งประกอบสำคัญคือ ต้องคิดไว้
ก่อนล่วงหน้าแล้วจึงกระทำ เจตนาจึงจัดเป็นแก่นสำคัญที่สุดของการกระทำ เป็นตัวที่ทำให้
การกระทำมีความหมาย การกระทำที่มิได้เกิดจากความจงใจไม่อาจเรียกว่าเป็นการกระทำได้
กรรมสามารถแสดงออกมาได้ 3 ทาง ได้แก่ การกระทำทางกาย ทางวาจา และทางใจ
โดยกรรมแบ่งออก 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายกุศลกรรม และฝ่ายอกุศลกรรม ตามอำนาจของต้นเหตุที่เกิดขึ้น
และผลที่ปรากฏ
1. ฝ่ายกุศลกรรม หมายถึง กรรมฝ่ายดี เป็นการกระทำที่บุคคลทำด้วยอโลภะ อโทสะ
อโมหะ เป็นการกระทำที่ไม่มีโทษ ไม่เดือดร้อนในภายหลัง มีจิตแช่มชื่นเบิกบาน มีสุขเป็นผล
ดังที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า
“กรรมที่บุคคลทำเพราะอโลภะ อโทสะ อโมหะ เกิดแต่อโลภะ อโทสะ อโมหะ มีอโลภะ
อโทสะ อโมหะเป็นต้นเหตุ มือโลภะ อโทสะ อโมหะ เป็นแดนเกิดอันใด กรรมนั้นเป็นกุศล
กรรมนั้นหาโทษมิได้ กรรมนั้นมีสุขเป็นผล”
“บุคคลทำกรรมใดแล้ว ไม่เดือดร้อนในภายหลัง มีหัวใจแช่มชื่น เบิกบานเสวยผล
แห่งกรรมใด กรรมนั้นทำแล้วเป็นการดี”
กุศลกรรมเป็นการกระทำที่ดีงาม ไม่ผิดศีล ไม่ผิดธรรม ไม่ทำให้จิตเศร้าหมอง ไม่มี
ทุกข์โทษภัยเดือดร้อนในภายหลัง แต่ก่อให้เกิดบุญบารมีและกุศลธรรม พฤติกรรมที่จัดเป็น
กุศลกรรมคือกุศลกรรมบถ 10 สามารถแบ่งออก 3 ทาง ตามการกระทำที่เกิดขึ้นทางกาย วาจา
และใจ ดังนี้
1. กายสุจริต หมายถึง การกระทำดีทางกาย มี 3 ประการ คือ 1) ปาณาติปาตา
เวรมณี งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ที่ยังมีชีวิต 2) อทินนาทานา เวรมณี งดเว้นจากการลักขโมย
ของที่ผู้อื่นไม่ให้ 3) กาเมสุมิจฉาจารา เวรมณี งดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม
2. วจีสุจริต หมายถึง การกระทำดีทางวาจา มี 4 ประการ คือ 1) มุสาวาทา เวรมณี
งดเว้นจากการพูดเท็จ 2) ปิสุณาย วาจาย เวรมณี งดเว้นจากการพูดส่อเสียด 3) ครุสายวาจาย
เวรมณี งดเว้นจากการพูดคำหยาบ 4) สัมผัปปลาปา เวรมณี งดเว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ
2
1 ปฐมนิทานสูตร, อังคุตตนิกาย ติกนิบาต, มก. เล่มที่ 34 ข้อ 551 หน้า 521
เขมสูตร สังยุตตนิกาย สคาถวรรค, มก. เล่มที่ 24 ข้อ 281 หน้า 367.
48 DOU สมาธิ 8 วิ ปั ส ส น า กัมมัฏฐาน