ข้อความต้นฉบับในหน้า
3.6 กรรมและการให้ผลกรรมในทางปฏิบัติ
ในการศึกษาเรื่องการให้ผลของกรรมในภาคปฏิบัติ ก่อนอื่นต้องทบทวนความรู้ใน
เรื่องเกี่ยวกับกิเลส ซึ่งเป็นต้นเหตุของกรรมและทำให้เกิดวิบากในเบื้องต้นก่อน
จากที่ได้ศึกษาเรื่องกิเลสนักศึกษาพอจะทราบแล้วว่า รากเหง้าของกิเลสเริ่มต้นมาจาก
อวิชชา แล้วขยายกว้างออกมาเป็นสังโยชน์ร้อยไส้อยู่ตลอดสาย ทั้งกายในภพและภายนอกภพ
ตั้งแต่กายธรรมพระโสดาบัน กายธรรมพระสกิทาคามี กายธรรมพระอนาคามี ยกเว้นกายธรรม
พระอรหัต หลังจากนั้นจะแตกแขนงกลายเป็นกิเลสตระกูลต่าง ๆ ตามอาการ คือ ความโลภ
ความโกรธ และความหลง กิเลสทั้ง 3 ตระกูลจะหุ้มซ้อนอยู่ภายใน เห็น จำ คิด รู้ ของแต่ละ
กาย เมื่อใจออกจากศูนย์กลางกายไปรับรู้รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสหรือธรรมารมณ์ ตามฐาน
ต่าง ๆ แล้วกลับมากระทบ เห็น จำคิด รู้ ทำให้กิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในใจซึ่งเป็นอนุสัยกิเลสฟูขึ้น
เรียกว่า ปริยุฏฐานกิเลส ซึ่งยังเป็นกรรมในระดับมโนกรรม เมื่อถูกกระทบมากขึ้นจึงบังคับให้
เกิดการกระทำออกมาทางกาย วาจา แล้วก็กลายเป็นวีติกามกิเลส
วีติกกมกิเลสทำให้เกิดการกระทำทางกายและวาจา ซึ่งเป็นส่วนของกรรม และกรรมที่
คนเราแต่ละคนทำนั้น จะไปปรากฏเป็นดวง ซึ่งมีทั้งดวงบุญและดวงบาป ดวงไม่บุญไม่บาป
ปรากฏอยู่ที่กลางจุดกำเนิดเดิม ซึ่งอยู่ในกลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ จุดกำเนิดเดิมนี้
มีขนาดเล็กเท่าปลายเข็ม หรือที่บอกว่ามีขนาดเท่าปลายของขนเนื้อทรายเส้นหนึ่งที่เขาจุ่มใน
น้ำมันงาใสแล้วยกขึ้น เป็นจุดเล็กนิดเดียว ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้เกิดมีชีวิตขึ้น ตอนที่พ่อแม่
ประกอบธาตุธรรม แล้วมีปฏิสนธิวิญญาณมาอยู่ จุดกำเนิดนี้ก็จะทำให้เกิดเป็นกลลรูป
คือ ส่วนของกายหยาบขึ้นจุดกำเนิดนี้เปรียบเหมือนเมล็ดโพธิ์ เมล็ดไทร ที่ทำให้เติบโต
เป็นต้นไม้ใหญ่ได้
พระมงคลเทพมุนีได้อธิบายไว้ในคู่มือสมภารว่า
“ในกลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายของแต่ละกาย มีดวงกลมซ้อนกันอยู่ 3 ดวง ดวงแรกมี
สีเทาๆ อยู่ข้างนอก ได้แก่ ดวงอพยากฤตหรือธรรมกลาง ถัดเข้าไปในกลางดวงของธรรมกลาง
มีอีกดวงหนึ่งสีดำดุจนิล นั่นคือ ธรรมดำหรืออกุศลธรรม ส่วนดวงที่ 3 ซึ่งซ้อนอยู่กลางดวงธรรมดำ
มีสีขาวใสบริสุทธิ์ยิ่งนัก นั่นคือธรรมขาวหรือกุศลธรรม
ธรรมขาวนี้ก็ คือ ดวงบุญ
ธรรมดา คือ ดวงบาป
ธรรมกลาง คือ ดวงไม่บุญไม่บาป
58 DOU สมาธิ 8 วิ ปั ส ส น า กัมมัฏฐาน