ข้อความต้นฉบับในหน้า
4. นามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ เมื่อมีนามรูปครบองค์ของชีวิต คือ ทำหน้าที่
ได้อย่างสมบูรณ์แล้ว ย่อมทำให้สฬายตนะ คือ อวัยวะส่วนต่างๆ ของนามรูป ที่ใช้สื่อกับสิ่งต่าง ๆ
ซึ่งมี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทั้ง 6 หรือเรียกว่า อายตนะภายใน อันเกิดร่วมมาด้วยโดยธรรมชาติ
มีการเริ่มทำหน้าที่ของตน
ของตน พระพุทธองค์จึงตรัสว่า นามรูปเป็นปัจจัยให้เกิดหรือมีสฬายตนะ หรือ
ก็คืออายตนะ 6 นี้มีอยู่แล้ว แต่เริ่มทำงานตามหน้าที่คือ กระทบกับ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส
ธรรมารมณ์ ร่วมกับวิญญาณ ทำให้เกิดการรับรู้
5. สฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ เมื่อมีสฬายตนะแล้ว ย่อมต้องมีการผัสสะ คือ
การประจวบกระทบกันกับสิ่งที่ถูกรู้ คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และธรรมารมณ์ทั้ง 6 หรือ
เรียกว่า อายตนะภายนอก และมีการรับรู้ (วิญญาณ) เกิดขึ้น เช่น
ตา + รูป + จักขุวิญญาณ กระทบกัน >>> ผัสสะ
สังเกตให้ดีว่า เป็นขบวนการธรรมชาติ เป็นธรรมดาที่เมื่อตากระทบรูป หูกระทบเสียง
จมูกกระทบกลิ่น ลิ้นกระทบรสสัมผัส กายกระทบสัมผัส ย่อมเกิดวิญญาณการรู้แจ้งในสิ่งที่
สัมผัสหรือกระทบนั้นเป็นอาการธรรมดา แต่เป็นสาเหตุก่อให้เกิดทุกข์ขึ้น
6. ผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา เมื่อมีผัสสะเกิดขึ้น คือมีการกระทบกันของอายตนะ
ภายในและภายนอก และมีการรับรู้ คือ วิญญาณ ก็จะบังเกิดเป็นเวทนา คือการเสวยอารมณ์
คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส (โผฏฐัพพะ) ธรรมารมณ์ ที่มากระทบ โดยมีความจำ (สัญญา)
มาจำแนกการรับรู้นั้นว่าเป็นถูกใจ ไม่ถูกใจ หรือเฉย ๆ จึงแยกเป็น สุขเวทนา ทุกขเวทนา
อทุกขมสุข หรือเฉยๆ ตามมาเป็นธรรมชาติ ผัสสะเป็นปัจจัยจึงมีเวทนา
7.เวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา เมื่อเกิดเวทนาขึ้นมาแล้ว จิตย่อมบังเกิดความรู้สึก
ภายในที่เป็นตัณหา คือ ความทะยานอยาก อันจำแนกให้เห็นได้ชัดๆ ง่ายๆ เป็นความอยากได้
ในอารมณ์ ความอยากมี (ภวตัณหา) หรือไม่อยาก (วิภวตัณหา) หรือเฉยๆ ในเวทนานั้น
เกิดขึ้นในขณะจิตนั้นเอง ต้องมีโยนิโสมนสิการถึงจักมองเห็นด้วยตาปัญญาหรือญาณ คือ เข้าใจ
ถ้าเวทนานั้นเป็นเวทนาที่เป็นสุขก็อยากจะได้อยากให้เกิดอยากให้เป็นไปตามสุขเวทนานั้นนานๆ
หรือตลอดไป พยายามยึดไว้ถ้าเวทนานั้นเป็นเวทนาที่รู้สึกเป็นทุกข์ ก็ไม่อยากให้เกิด ไม่อยาก
ให้เป็น ไม่อยากให้มี จะเกิดอาการผลักไสขึ้นในจิตทันที พระพุทธองค์จึงตรัสว่าเวทนาเป็นปัจจัย
ให้เกิดตัณหา อันเป็นต้นเหตุแห่งทุกข์
212 DOU ส ม า ชิ 8 วิ ปั ส ส น า กัมมัฏฐาน