ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประโยค๘ - วิสุทธิมรรคแปล ภาค ๑ ตอน ๑ - หน้าที่ 25
ไป ศีลนี้เป็นตัญหานิสิตศีล ศีลใดบุคคลประพฤติไปด้วยสุทธิทิฏฐิ ว่า
"ความหมดจด (จักมีได้) ด้วยศีล" ดังนี้ ศีลนี้เป็นทิฏฐินิสิตศีล
ส่วนศีลใดเป็นโลกุตระก็ดี เป็นโลกิยะแต่เป็นเครื่องสนับสนุนโลกุตตร
ศีลนั้นก็ดี นี้เป็นอนิสิตศีล ดังนี้แล ศีลเป็น ๒ อย่าง โดยเป็นนิสิตศีล
และอนิสิตศีล.
[ ทุกะที่ ๕ ]
ในทุกะที่ ๕ พึงทราบวินิจฉัยดังนี้ ศีลที่บุคคลทำกำหนดกาล
สมาทาน ชื่อกาลปริยันตศีล ศีลที่บุคคลสมาทานตลอดชีวิตแล้ว
ประพฤติไปตลอดชีวิตเช่นกัน ชื่อว่าอาปาณโกฏิกศีล พึงทราบ
ศีลเป็น ๒ อย่าง โดยเป็นกาลปริยันตศีลและอาปาณโกฏิกศีล ด้วย
ประการฉะนี้.
[ ทุกะที่ ๖]
พึงทราบวินิจฉัยในทุกะที่ ๖ ต่อไป ศีลที่มีความเห็นด้วยอำนาจ
สุทธิทิฏฐิยา มหาฎีกาไขความว่า อิติ สสารสุทธิ ภวิสฺสตีติ เอว ปวตฺตทฏฐิยา ด้วยความ
เห็นอันเป็นไปดังนี้ว่า สังสารสุทธิจักมีอย่างนี้
เคยเข้าใจว่า มีมัจฉาทิฏฐิประเภทหนึ่ง เห็นว่าความบริสุทธิ์นั้น มีได้ด้วยสังสาร คือเวียน
ว่ายตายเกิดไปนานเข้าก็บริสุทธิ์เอง ไม่ต้องทำอะไร เรียกว่าสั่งสารบริสุทธิ์ แย้งกับทางพระพุทธ
ศาสนาที่สอนว่าความบริสุทธิ์นั้นมีได้ด้วยความเพียร คือต้องประกอบเหตุให้ควรกัน จึงจะมีความ
บริสุทธิ์เป็นผลขึ้นได้ ดังนี้
การบำเพ็ญศีลในทางพระพุทธศาสนา ซึ่งว่าเป็นส่วนเบื้องต้นแห่งการทำความเพียรเพื่อความ
บริสุทธิ์ ไม่เข้าหลักสังสารสุทธิ ไฉนมหาฎีกาจารย์จึงแก้ไปอย่างนั้น ถ้าเป็นเช่นนั้น ทิฏฐิ
นิสิตศีล ก็ต้องไม่ใช่ศีลในพระพุทธศาสนา แต่ในวิสุทธิมรรคนั้น ท่านมุ่งหมายเอาศีลในพระ
พุทธศาสนาทั้งนั้น ที่จริงท่านก็แก้ของท่านไว้แล้วว่า...สีเลน สุทธีติ เอว์ สุทธิทิฏฐิยา