ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประโยค๘ - วิสุทธิมรรคแปล ภาค ๑ ตอน ๑ - หน้าที่ 26
ชื่อว่าสปริยันตศีล ที่
ลาภ ยศ ญาติ อวัยวะ และชีวิตเป็นที่สุด
ตรงกันข้าม ชื่อว่าอปริยันตศีล จริงอยู่ แม้พระธรรมเสนาบดีสารีบุตร
ก็กล่าวคำนี้ไว้ในคัมภีร์ปฏิสัมภิทาว่า "(ถามว่า) ศีลมีที่สุดนั้น
เป็นไฉน ? ตอบว่า ศีลมีลาภเป็นที่สุดก็มี ศีลมียศเป็นที่สุดก็มี
ศีลมีญาติเป็นที่สุดก็มี ศีลมีอวัยวะเป็นที่สุดก็มี ศีลมีชีวิตเป็นที่สุดก็มี
(ถามว่า) ศีลมีลาภเป็นที่สุดนั้นเป็นไฉน ? (ตอบว่า) บุคคลลางคน
ในโลกนี้ย่อมละเมิดสิกขาบทตามที่ตนสมาทานไว้ เพราะลาภเป็นเหตุ
เพราะลาภเป็นปัจจัย เพราะลาภเป็นตัวการณ์ นี้ศีลนั้นชื่อว่ามีลาภ
เป็นที่สุด" ถึงศีลนอกนี้ก็พึงให้พิสดารโดยอุบายนี้นั่นแล แม้ในการ
ท่านก็กล่าวไว้ว่า "(ถามว่า) ศีลมิใช่มีลาภ
เป็นที่สุดนั้นเป็นไฉน ? (ตอบว่า) บุคคลลางคนในโลกนี้ไม่ยังแม้แต่
ความคิดที่จะละเมิดสิกขาบทตามที่สมาทานแล้ว เพราะลาภเป็นเหตุ
เพราะลาภเป็นปัจจัย เพราะลาภเป็นตัวการณ์ ให้เกิดขึ้น ไฉนเขาจัก
วิสัชนาอปริยันต์ศีล
ละเมิด (ด้วยกายวาจา) เล่า นี้ศีลนั้นชื่อว่ามิใช่มีลาภเป็นที่สุด"
แม้ศีลนอกนี้ก็พึงให้พิสดาร โดยอุบายนี้เหมือนกัน
๒ อย่าง
พึงทราบศีลเป็น
โดยเป็นสปริยันตศีลและอปริยันตศีล ด้วยประการฉะนี้
[ ทุกะที่ ๗ ]
ในทุกะที่ ๒ พึงทราบวินิจฉัยว่า ศีลมีอาสวะแม้ทั้งหมด เป็น
โลกิยศีล ที่ไม่มีอาสวะเป็นโลกุตตรศีล ในศีล ๒ อย่างนั้น โลกิยศีล
๑. ขุ. ป. ๓๑/๖๒. ๒. บุ, ป. ๓๑/๖๓.