ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประโยค๘ - วิสุทธิมรรคแปล ภาค ๑ ตอน ๑ -
หน้าที่ 2
ของตัณหา ซึ่งเป็นธรรมชาติมีข่าย แท้จริง ตัณหานั้นได้ชื่อว่าชัฏ
เพราะเป็นดุจชัฏ กล่าวคือข่ายแห่งกิ่งของต้นไม้ (ที่มีกิ่งเป็นข่าย)
ทั้งหลาย มีกอไผ่เป็นต้น ด้วยอรรถว่าเกี่ยวประสานไว้ เพราะเกิดขึ้น
แล้ว ๆ เล่า ๆ ในอารมณ์ทั้งหลายมีรูปเป็นต้น โดยเป็นไปในทั้งอารมณ์
ชั้นต่ำและอารมณีชั้นสูง:
ก็ตัณหานี้นั้น เทพบุตรเรียกว่า "ชัฏทั้งภายใน ชัฏทั้งภายนอก"
เพราะมันเกิดขึ้นทั้งในบริขารของตน และบริขารของผู้อื่น ทั้งใน
*เหฏฐปรี้ยวเสน, มหาฎีกา ให้ถือเอาความว่า ลางคราวเป็นไปในรูปอารมณ์ ลางคราวเป็นไป
ในอารมณ์ที่เหลือจนถึงธรรมารมณ์ ลางคราวเป็นไปในธรรมารมณ์ ลางคราวเป็นไปในอารมณ์
โดยลำดับจนถึงรูปารมณ์ หรือลางครั้งเป็นไปในกามภพ ลางครั้งในรูปภพ ลางครั้งในรูปภพ
หรือ บางครั้งเป็นไปในอรูปภพ - ในรูปภพ - ในกามภพ ตามมติท่านฎีกาจารย์นี้ ดูเหมือนจะให้
ถือว่า รูปารมณ์เป็นต่ำ เลื่อนขึ้นไปโดยลำดับจนถึงธรรมารมณ์เป็นสูง และกามภพเป็นต่ำ
อรูปภพเป็นสูง เข้าใจว่า ท่านจะหมายถึงหยาบละเอียดกว่ากันกระมัง
น่าเห็นว่า สำหรับอารมณ์ ๖ นั้น หมายเอาความต่ำสูงซึ่งมีอยู่ในตัวของมันแต่ละ
อย่างนั่นเอง เช่นรูปที่หยาบ เลว นับเป็นชั้นต่ำ รูปที่ละเอียด ประณีต นับเป็นชั้นสูง
ทั้งนี้อาศัยนัยพระบาลีเช่นบาลีอนัตตลักขณสูตร ตอนนิเทศปัญจขันธ์ว่า ยังกิญจิ รูป.... โอฬาริก
วา สุขุม วา หีนํ วา ปณต วา (รูปอย่างใดอย่างหนึ่ง... หยาบหรือละเอียดก็ตาม เลวหรือ
ประณีตก็ตาม) ดังนี้ อันตัณหานั้นมันไม่เลือกสุดแต่ความยินดีพอใจมีในที่ใด มันก็เกิดขึ้นในที่นั้น
ไม่ว่าที่ต่ำที่สูง มันจึงยุ่งไปหมด ส่วนภพทั้ง ๓ นั้น จะถือเอาความหยาบละเอียดเป็นที่สูงต่ำกว่า
กันก็ชอบอยู่ สมด้วยพระบาลีในติกังคุตตระ สูตรที่ ๒๒ ว่า กามธาตุ เป็น หินธาตุ, รูปธาตุ
เป็นมัชฌิมธาตุ, อรูปธาตุ เป็น ปณีตธาตุ, บุคคลจะอยู่ในฐานะอย่างไรก็ตาม แต่ตัณหาใน
สันดานของบุคคลนั้น มันหาเป็นไปตามควรแก่ฐานะไม่ มันย่อมเป็นไปสูงบ้าง ต่ำบ้าง ตามความ
ยินดีพอใจ (นนทิราคสหกตา) จึงปรากฏว่า มนุษย์ไปเกิดเป็นพรหมและเทวดาก็มี พรหมและ
เทวดากลับลงมาเกิดเป็นมนุษย์ก็มี สับสนกันไปมา มันจึงยุ่ง