ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประโยค๘ - วิสุทธิมรรคแปล ภาค ๑ ตอน ๑ - หน้าที่ 43
นัยว่า "ภิกษุนั้นเห็นรูปด้วยจักษุ" ดังนี้เป็นอาทิ ในลำดับแห่งปาฏิ
โมกขสังวรศีลนั้น พึงทราบวินิจฉัยในอินทรียสังวรศีลนั้นดังต่อไปนี้ :-
บทว่า ภิกษุนั้น
ได้แก่ภิกษุผู้ตั้งอยู่ในปาฏิโมกขสังวรศีลนั้น
คำว่าเห็นรูปด้วยจักษุ ความว่าเห็นรูปด้วยจักษุวิญญาณอันสามารถใน
การเห็นรูป ซึ่งได้โวหารจักษุ ด้วยอำนาจแห่งความเป็นเหตุ จริง
อยู่ โบราณาจารย์ทั้งหลายกล่าวไว้ว่า "จักษุย่อมไม่เห็นรูป เพราะ
จักษุไม่มีจิต แม้จิตก็ไม่เห็นรูป เพราะจิตไม่มีจักษุ แต่เมื่อทวาร
กับอารมณ์กระทบกันเข้า บุคคลย่อมเห็นรูปด้วยจิตมีจักษุประสาท
เป็นที่ตั้ง" ก็คำพูดเช่นนี้ชื่อว่า สสัมภารกถา เหมือนกถาในคำว่า ยิ่ง
ด้วยธนู เป็นต้น” เพราะเหตุนั้น ความที่ว่า "เห็นรูปด้วยจักษุ
วิญญาณ" นี้นั่นแหละ เป็นความหมายในคำว่า เห็นรูปด้วยจักษุนั้น
บทว่า น นิมิตตกคาหี ความว่า ย่อมไม่ถือเอานิมิตว่าหญิงหรือ
ชาย
หรือนิมิตอันเป็นที่ตั้งแห่งกิเลสมีสุภนิมิตเป็นต้น ยังหยุดอยู่
๑. ตรงนี้เข้าใจยาก แม้ดูมหาฎีกาแล้วก็ยังไม่ง่ายขึ้น ดูเหมือนจะหมายความดังนี้ จักษุเป็น
เหตุให้เกิดผลคือการเห็นรูปขึ้น ถึงแม้ว่าต้องมีวิญญาณประกอบ การเห็นนั้นจึงจะสำเร็จก็ตาม
แต่วิญญาณเป็นเหตุสาธารณะอันไม่ปรากฏ ส่วนจักษุเป็นอสาธารณะที่ปรากฏ เพราะฉะนั้น
นัน พูด
เพียงว่า "เห็นด้วยจักษุ” ก็ซึมซาบกันดี เหมือนคำว่า "เสียงกลอง"
กลองเป็นเหตุจําเพาะ
ให้เกิดผล คือเสียงกลอง ถึงแม้ว่าจะต้องมีคนตีหรือมีสิ่งอะไรมากระทบมันจึงจะเกิดเสียง แต่ว่า
พูดแต่ผลกับเหตุจำเพาะว่าเสียงกลอง เราก็เข้าใจซึมซาบดี ไม่จำต้องพูดให้หมดว่า "เสียงแห่ง
กลองอันเขาติแล้ว."
๒. สสัมภารกถา แปลว่าคำพูดมีสัมภาระ คือมีองค์ประกอบ จึงจะได้ความสมบูรณ์ เช่นคำว่า
ยิงด้วยธนู สัมภาระของคำนี้คือลูกธนู เพราะว่าถ้าไม่มีลูกธนู การยิงก็ไม่สำเร็จ แต่เมื่อยิงลูกธนู
ออกไปจากแบ่งธนูเสร็จแล้ว ก็พูดว่า "ยิงด้วยธนู" เป็นอันรู้กันฉันใด คำว่าเห็นรูปด้วยจักษุ ก็
มีสัมภาระคือจักษุวิญญาณฉันนั้น