ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประโยค๘ - วิสุทธิมรรคแปล ภาค ๑ ตอน ๑ - หน้าที่ 128
ในการสมาทานด้วยตนเองก็ใช้ได้นี้ จึงเล่าเรื่องความมักน้อยในธุดงค์
ของพระเถระผู้พี่แห่งพระเถระสองพี่น้องในเจติยบรรพต” (เป็นนิทัศนะ)
นี้เป็นคำกล่าวโดยทั่วไปก่อน
บัดนี้ ข้าพเจ้าจักพรรณนาการสมาทาน วิธี (ปฏิบัติ) ประเภท
ความแตก และอานิสงส์แห่งธุดงค์แต่ละข้อต่อไป :-
Q.
. ปังสุกูลกังคะ
[ การสมาทานปังสุกูลกังคะ ]
ก่อนอื่น ปังสุกุลกังคะ ย่อมเป็นอันสมาทานด้วยคำ ๒ คำนี้คำใด
คำหนึ่ง ว่า คหปติทานจีวร ปฏิกขิปามิ ข้าพเจ้างดผ้าอันเป็นของ
คฤหบดีถวาย ปักลิกงค์ สมาทิยามิ ข้าพเจ้าสมาทานองค์ของภิกษุ
ผู้มีการทรงผ้าบังสุกุลเป็นปกติ" นี่เป็นการสมาทานในปังสุกุลกังคะ
นี้ก่อน.
0.
มหาฎีกาได้เรื่องมาเล่าไว้ว่า พระเถระองค์นั้นถือเนสัชชิก ไม่มีใครรู้ว่าท่านถือ (เพราะ
ท่านมักน้อย ไม่ให้ใครรู้ ?) วันหนึ่งตอนกลางคืน (ดึกแล้ว) พระเถระผู้น้อง (นอนอยู่?)
มองไปเห็นท่านนั่งอยู่บนที่นอนด้วยแสงฟ้าแลบ จึงทักขึ้นว่าท่านถือเนสัชชิกหรือ (เมื่อมีคนเห็น
เสียแล้ว) ก็เพราะความมักน้อยนั่นแหละ ท่านเลยเอนกายลงนอนในทันทีทันใดนั้น แล้วภายหลัง
ได้โอกาส ท่านก็สมาทานด้วยตนเองถือใหม่ต่อไป (มักน้อยเช่นนี้จะเป็นอุชุปฏิปันโน หรือ ?)
๒. ในคำสมาทาน ๒ คำนี้ มีปัญหาอยู่ ๒ ข้อ
ก. คำ คหปติทานจีวร์ แปลกอยู่ พบโดยมากมีแต่ คหปติจีวร ในที่นี้ท่านเติม -
ทาน - เข้ามาเพื่ออะไร มหาฎีกาท่านแย้มไว้ ดูเหมือนว่าดังนี้ ผ้าที่เจ้าของทอดไว้ด้วยประสงค์จะ
ให้บรรพชิตมาชักเอาไป (อย่างผ้าป่าของเราทุกวันนี้ ?) จึงเรียกคหปติจีวรได้ แต่ไม่เรียกคหปติ -
ทานจีวร (เพราะคหปติทานจีวรหมายเอาจีวรที่เจ้าของนำมาประเคนด้วยมือ ? เพราะฉะนั้นท่านจึง
ประกอบ - ทาน - ไว้ด้วย เพื่อให้ต่างกับคหปติจีวร) เพื่ออนุโลมตามนัยฎีกานี้ จึงแปลว่า "จีวร
อันเป็นของคฤหบดีถวาย