ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประโยค๘ - วิสุทธิมรรคแปล ภาค ๑ ตอน ๑ - หน้าที่ 16
ศัพท์ทั้งหลาย เห็นชอบด้วยอรรถ ๒ อย่างนี้เท่านั้น ในศีลศัพท์นี้
ส่วนอาจารย์อื่น ๆ พรรณนาอรรถในศีลศัพท์นี้ไว้ โดยนัย (ต่าง ๆ)
เช่นว่า ศีลศัพท์มีอรรถว่าสระ มีอรรถว่าสีสะ มีอรรถว่าสีตละ (เย็น)
ดังนี้เป็นอาทิ:
มีอรรถว่าสิวะ (เกษม) ดังนี้เป็นอา
[ ลักษณะ รส ปัจจุปัฏฐาน ปทัฏฐาน ของศีล ]
บัดนี้จะแก้ในปัญหาข้อว่า "อะไรเป็นลักษณะ เป็นรส เป็น
ปัจจุปัฏฐาน และเป็นปทัฏฐานของศีลนั้น"
สีลนะ | ความเป็นมูลราก] เป็นลักษณะของศีล
นั้น แม้ มีประเภท ] ต่างกันโดยอเนก
เปรียบเหมือนความเป็นสิ่งมีวิสัยที่จะพึงเห็นได้
[ ด้วยจักษุ ] เป็นลักษณะของรูป อัน [ มีชนิด |
ต่างกันโดยอเนก ฉะนั้น
จริงอยู่ ความเป็นสิ่งมีวิสัยที่จะพึงเห็นได้ (ด้วยจักษุ) ชื่อว่า
เป็นลักษณะของรูปายตนะ แม้ (มีชนิด) ต่างกันโดยอเนกประการ
โดยต่างแห่งสีมีสีเขียวและสีเหลืองเป็นต้น เพราะรูปายตนะแม้ต่างกัน
โดยต่างแห่งสีมีสีเขียวเป็นต้น ก็ไม่ล่วงพ้นความเป็นสิ่งมีวิสัยที่จะพึง
* มหาฎีกาช่วยขยายอรรถแห่งศีลศัพท์นี้ไว้ ๓ ศัพท์ คือ สิระ สีสะ สีตละ ส่วนศิวะ
ไม่เห็นขยาย สระกับสีสะนั้นเป็นอันเดียวกัน คือแปลว่า หัว เหมือนกัน ท่านขยายไว้ว่า
เมื่อหัวขาดแล้ว ร่างกายทั้งหมดก็เสีย ใช้การไม่ได้ ฉันใด เมื่อศีลแตกทำลายเสียแล้ว
ร่างกายคือคุณธรรมทั้งปวง ก็เสียไปหมด ฉันนั้น เพราะฉะนั้น ศีล จึงมีอรรถว่า สิระ หรือ
สีสะ แต่เรียกว่า สีละ ไม่เรียก สิระ หรือ สีสะ นั้น เป็นโดย นิรุกตินัย อรรถว่า
สีตละ (เย็น) เห็นได้ง่าย คือมีศีลแล้วก็ระงับเรื่องร้อนได้ (คนมีศีลเป็นคนเย็น ไม่ทำความ
เดือดร้อนให้ใคร) แต่เรียกสีละ โดยลบ ต. เสีย ตามนิรุกตินัยเหมือนกัน