ข้อความต้นฉบับในหน้า
2.1.2.1 ศิลภายใน
ในวิชาชาติธรรมกายมีศิลปะประเภทหนึ่งเรียกว่า “ศิลเห็น”
หรือ “อรสิทธิ” ส่วนศิลที่หมายถึงความประพฤตินั้นถูกแยกเป็น “ศีลสิ” สำหรับศิล
เห็นหรืออรสิทธิสิจะปรากฏแก่นผู้ปฏิบัติธรรมที่ได้ธรรมกาย และเมื่อได้เข้าภาวนา
อรสิสิ ก็จะถึงดวงอรจิต ต่อจากดวงอรจิตจะเป็นดวงอรปัญญา ศีลเห็นนี้เป็นทาง
แห่งมรรคและผล เป็นหนทางของพระอริยเจ้าทั้งปวง ศีลเห็นเป็นเรื่องที่เกิดจาก
การปฏิบัติสมาธิวิปสิวานาหรือเป็นประสบการณ์ภายในเป็นหนึ่งในดวงสว่าง
หาดดวงที่ผู้ปฏิบัติสมาธิจะตามแบบวิปัสสนาธรรมกายจะต้อง “เดินเข้าไป” ดวง
ส่วนทั้งหกได้แก่ดวงธรรมบุษฐานิฐิรูปธาตุ ดวงสิล ดวงสมาธิ ดวงปัญญา
ดวงวิมุตติ และดวงวิญญาณทัสสนะเมื่าผ่านหกดวงนี้แล้วจึงจะเข้าสู่กายที่
มีความละเอียดสูงขึ้นไปอีก
โยคาวจรกล่าวถึงความสว่างหรือดวงสว่างของ
ประสบการณ์ภายในเช่นเดียวกัน คัมภีร์พุทธทธรรมนั้นบรรยายถึงการปฏิบัติ
ระดับโลกุตระเรียกขานความสว่างเหล่านี้ว่า “ไฟ” ซึ่งมีทั้งหมดสี่ประการหรือ
สีส่อง อันได้แก่ไฟขนาดหนึ่งห้อยของพระโสดาบัน ไฟขนาดดวงดาวของ พระสก
ทาคามี ไฟขนาดดวงจันทร์ของพระอนาคามี และไฟขนาดดวงอาทิตย์ของพระ
อรหันต์ ผู้ปฏิบัติสมาธิวิปวนาจนได้ไฟนี้แล้วจะมีแต่สุดยอดขั้นฟ้าพรม
เป็นที่ไป โดยเฉพาะผู้ที่ได้ฟอร์หันต์สามารถเข้าถึงนิพพาน ในท้ายข้อความที่
ยกมาว่าไฟทั้งสี่กองนี้คือศิลทั้งสิประการและยังเป็นบุณสีประการอีกด้วย
จึงเป็นที่เข้าใจได้ว่ามรรคผลหรือธรรมขั้นโลกุตระได้รับการเรียกขานว่า “ไฟ”
“ศิล” และ “บุญ” เป็นไปได้ว่าเพื่อตามให้เข้าใจและจดจำหายเทียบ
กับคำบาลีที่ไม่คุ้นเคยสำหรับผู้คนในท้องถิ่น