การเจริญสมาธิภาวนาและทิพยจักษุ GB 203 สูตรสำเร็จการพัฒนาสังคมโลก หน้า 68
หน้าที่ 68 / 298

สรุปเนื้อหา

ทิพยจักษุเกิดขึ้นเมื่อใจหยุดนิ่ง ณ ศูนย์กลางกาย ทำให้สามารถมองเห็นกระบวนการเกิดและสิ่งต่างๆ ในโลกตามที่เป็นจริง เมื่อมีความสว่างที่กลางใจเกิดขึ้น เราจะเห็นโอปปาติกะทั้งในทุคติและสุคติ วิถีนี้เกิดจากการอบรมจิตใจและการทำความดีตามคำสอนของพระพุทธองค์ เพื่อลดอำนาจของกิเลสและรักษาศรัทธา.

หัวข้อประเด็น

-การเกิดทิพยจักษุ
-การเจริญสมาธิภาวนา
-ความสัมพันธ์ของโอปปาติกะ
-ศรัทธาในธรรม
-การทำทานและรักษาศีล

ข้อความต้นฉบับในหน้า

ทิพยจักษุเกิดขึ้นได้อย่างไร ทิพยจักษุจะเกิดขึ้นแก่คนเราได้ด้วยการเจริญสมาธิภาวนา โดยการทำใจให้หยุดนิ่ง ณ ศูนย์กลาง กาย (ได้อธิบายไว้บ้างแล้ว ในเรื่อง “โลกหน้า”) ขณะที่ใจรวมเป็นหนึ่งและหยุดนิ่งได้อย่างต่อเนื่อง ณ ศูนย์กลาง กาย ใจก็จะใสสว่างขึ้นถึงขั้นสว่างโพลง ยิ่งหยุดได้นานเท่าใด ความสว่างโพลงก็จะทวีขึ้นและมั่นคงยิ่งขึ้น เท่านั้น เมื่อใดมีความสว่างโพลงที่กลางใจเกิดขึ้น ราวกับตะวันเที่ยงหลายๆ ดวงมารวมกันที่ศูนย์กลาง กายของเรา เราก็จะสามารถมองเห็นกระบวนการไปเกิดมาเกิดของเหล่าสัตวโลกที่เป็นโอปปาติกะทั้งใน ทุคติและสุคติ รวมทั้งบรรยากาศ และสภาพธรรมชาติของนรกสวรรค์ได้ตามที่เป็นจริง การเห็นเช่นนี้ เรียกว่าเห็นด้วย “ทิพยจักษุ” ไม่ใช่เห็นด้วยตาธรรมดาของคนเรา อย่างไรก็ตาม บุคคลที่ยังไม่สามารถฝึกอบรมตนให้เกิดทิพยจักษุได้ ก็ไม่ควรคิดตั้งข้อสงสัยว่า คำสอนของพระพุทธองค์จะไม่เป็นจริง คือสงสัยว่าโอปปาติกะไม่เป็นจริง แต่ควรคิดในแง่ดีว่า พระพุทธองค์ นั้นทรงเป็นทั้งกัลยาณมิตร และบุพการี ของชาวโลก คือทรงให้ความอุปการะชาวโลกด้วยธรรมทาน โดย ที่ชาวโลกไม่ได้ขอร้อง และชาวโลกก็ไม่ได้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของพระองค์ ยิ่งกว่านั้นยังไม่ทรงหวังการ ตอบแทนใดๆ จากชาวโลกด้วยซ้ำไป เหตุที่ทรงให้ธรรมทานอย่างยิ่งใหญ่แก่ชาวโลก ก็เพราะทรงสงสารห่วงใย และปรารถนาดีเป็นอย่างยิ่งนั่นเอง ไม่อยากให้ชาวโลกต้องเสวยทุกข์ในทุคติภพ แต่ทรงปรารถนาจะให้ได้ เสวยสุขในสุคติภพ และบรรลุความหลุดพ้นในที่สุด ดังเช่นพระองค์ และพระอรหันตสาวกทั้งปวง ความคิดเพียงเท่านี้ก็จะทำให้เราเกิดศรัทธามั่นในพระธรรมคำสั่งสอนทั้งปวง โดยไม่มีข้อกังขา แล้วตั้งหน้าเพียรพยายามประพฤติปฏิบัติแต่กรรมดี มีการทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนาเป็นกิจวัตร ประจำวันตลอดชีวิต แม้ไม่คิดจะทำให้เกิดทิพยจักษุ เพื่อพิสูจน์เรื่องโอปปาติกะ แต่วันใดวันหนึ่ง เมื่อเรา สั่งสมประสบการณ์ภายในได้มากขึ้นๆ หรือจะเรียกว่า “บุญ” ก็ได้ ทิพยจักษุย่อมเกิดขึ้นเองโดยปริยาย และ เมื่อนั้นเราก็จะประจักษ์แจ้งตามพระธรรมคำสั่งสอน ในทางกลับกันถ้าเรายังคิดสงสัย ศรัทธาของเราที่มีต่อพระธรรมคำสั่งสอนย่อมจะไม่เกิดขึ้น หรือเมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ไม่มั่นคง ทำให้คนเราตั้งอยู่ในความประมาท ประพฤติตนไปตามอำนาจกิเลส ไม่ต้อง มากเพียงแค่ดื่มสุราจนเมามายบ่อยๆ ก็จะต้องประสบปัญหาเดือดร้อนตั้งแต่ปัจจุบันชาติแล้ว เมื่อละโลกไป ย่อมไม่แคล้วจากทุคติ นอกจากนี้ถ้าดื่มสุราเมามายแล้วไปทำผิดศีลข้ออื่นอีก ทุกข์และโทษย่อมทวีขึ้น อย่างเห็นได้ในปัจจุบันชาติ โดยไม่ต้องรอไปถึงปรโลก ในคัมภีร์พระพุทธศาสนากล่าวว่า มีผู้คนจำนวนมาก มีปัญญามืดบอดด้วยอำนาจกิเลสในกมล สันดาน เห็นว่า “สัตว์ผุด ขึ้นเกิดไม่มี” หรือ “โอปปาติกะไม่มี” ทั้งๆ ที่โอปปาติกะมีอยู่จริง ความเห็นผิด ของพวกเขาจัดเป็น “มิจฉาทิฏฐิ” ในทางกลับกัน กลุ่มบัณฑิตเห็นว่า “สัตว์ผุดขึ้นเกิดมี” คือมีอยู่จริง ความ เห็นถูกของพวกเขาจัดเป็น “สัมมาทิฏฐิ” บ ท ที่ 1 แ น ว คิ ด ใ น ก า ร ป ฏิรูป มนุษย์ DOU 53
แสดงความคิดเห็นเป็นคนแรก
Login เพื่อแสดงความคิดเห็น

หนังสือที่เกี่ยวข้อง

Load More