ข้อความต้นฉบับในหน้า
ทำไมพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงตรัสแสดงความเห็นในข้อที่ 10
จากการพิจารณาความเห็นถูกเป็นสัมมาทิฏฐิ ตั้งแต่อันดับที่ 1 ถึง 10 ด้วยโยนิโสมนสิการ
ย่อมเห็นได้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีพระพุทธประสงค์ที่จะชี้แนะชาวโลกให้เกิดความเข้าใจถูกต้องใน
เรื่องโลกและชีวิตให้ยิ่งๆ ขึ้นไป ซึ่งอาจกล่าวสรุปได้เป็นข้อๆ ดังนี้
1) เข้าใจถูกว่า ต่างคนต่างเกิดมาเพื่อสร้างเฉพาะกรรมดีเท่านั้น การสร้างกรรมดีในรูป
แบบต่างๆ ล้วนเป็นการสั่งสมบุญกุศลของคนเรา เพื่อประโยชน์ในโลกนี้ ประโยชน์ในโลกหน้า และ
ประโยชน์สูงสุดคือการบรรลุมรรคผลนิพพานไม่ต้องย้อนกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏอันหาจุดจบ
มิได้อีกต่อไป ตรงกันข้ามผู้ทำกรรมชั่ว ย่อมเป็นการสั่งสมบาปอกุศลไว้ในใจตน ทำให้ใจมีแต่ความมืดมิด
อันเป็นทางนำไปสู่โทษภัยทั้งโลกนี้และโลกหน้า ซึ่งผิดวัตถุประสงค์ของความมีโชคดีที่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์
ได้พบพระพุทธศาสนา
2) เข้าใจถูกว่า บุญกุศลมีฤทธิ์สยบกิเลสได้ การสั่งสมบุญกุศลด้วยการศึกษาและปฏิบัติ ทาน
ศีล ภาวนา อย่างสม่ำเสมอ จะทำให้ใจคนเราผ่องใส บริสุทธิ์ สว่างขึ้นไปตามลำดับๆ จนถึงขั้นสว่างโพลง
ยิ่งกว่าดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวัน ความสว่างโพลงของใจจะสามารถส่องให้เห็นความไม่แน่นอนของโลก ตลอด
จนความเป็นไปของชีวิตตามความเป็นจริงได้ลึกลงไปในอีกระดับหนึ่ง ซึ่งตาเนื้อ (มังสจักษุ) มองไม่เห็น
การเห็นเช่นนี้เป็นการเห็นด้วยตาของกายทิพย์ (ทิพยจักษุ) อาจจัดว่าเป็นการเห็นด้วยใจก็ได้
การเห็นด้วยทิพยจักษุเช่นนี้ จะทำให้คนเราพัฒนาหิริ โอตตัปปะ คือความอายต่อการ
ทำความชั่วความบาปและความกลัวต่อวิบากของบาปมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เกิดปัญญาสอนตนเองให้รู้จัก
ระมัดระวังตัวไม่ให้ทำชั่ว ให้เลือกทำแต่ความดี ใจก็จะสะอาดสว่างอย่างต่อเนื่องยิ่งขึ้นทั้งวันทั้งคืน กิเลส
จึงไม่ได้ช่องกำเริบออกฤทธิ์เลย ทำนองเดียวกับหญ้าที่ถูกหินทับ ย่อมงอกงามไม่ได้ นี่คือความหมายที่ว่า
บุญกุศลมีฤทธิ์สยบกิเลสได้
3) เข้าใจถูกว่า ผู้ที่ใจสะอาดอย่างสมบูรณ์ย่อมสามารถรู้แจ้งเห็นแจ้งโลกนี้โลกหน้าได้ การ
ปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญา จนกระทั่งใจหยุดนิ่งสนิทอย่างถาวร (บรรพชิตมีโอกาสปฏิบัติได้ผลมากกว่าคฤหัสถ์
เพราะไม่ต้องกังวลด้วยเรื่องการทำมาหากิน) ความสว่างโพลงที่กลางใจก็จะเกิดขึ้นอย่างถาวร ถึงขั้นส่อง
ให้เห็นความเป็นไปของโลกนี้โลกหน้าได้ตรงตามเป็นจริงคือสว่างยิ่งกว่าตะวันเที่ยงหลายหมื่นหลายแสนเท่า
ประสบการณ์ภายในอันวิเศษนี้ คือพัฒนาการที่เรียกว่า “ธรรมจักษุ” ซึ่งเป็นเครื่องช่วยให้คนเราเห็นแจ้งรู้
แจ้งโลกนี้โลกหน้าได้ตรงตามเป็นจริง ตลอดจนการเห็นสัจธรรมต่างๆ มีอริยสัจ 4 เป็นสำคัญ แต่ทว่า
ศักยภาพแห่งการรู้แจ้งเห็นแจ้งของบุคคลจะอยู่ในระดับใดย่อมแตกต่างกันไปตามมรรค และผลของผู้
ปฏิบัติแต่ละคน
ด้วยเหตุนี้ จึงกล่าวได้ว่า นอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเหล่าพระอรหันตสาวกใน
อดีตกาลแล้ว แม้ในปัจจุบันบุคคล ที่ศึกษาและปฏิบัติถูกต้องตามพระธรรมวินัย ด้วยความวิริยะอุตสาหะ
56 DOU สูตรสำเร็จ การพัฒนาสังคมโลก