ข้อความต้นฉบับในหน้า
อธิบายความ : อบายมุข 6 ประการนี้ มีความสนุกสนานเฉพาะหน้าเป็นตัวล่อ ทำให้
เห็นผิดเป็นชอบได้ แต่แท้ที่จริงแล้ว ทั้งชีวิต ชื่อเสียง ทรัพย์สิน ยศตำแหน่ง ฐานะ ความ
มั่นคงทางเศรษฐกิจ ที่ได้มานั้น มีความพินาศกำลังรออยู่ที่ปลายทาง
ใครก็ตามที่ประกอบอาชีพด้วยอบายมุข หรือชักชวนให้ผู้อื่นไปยุ่งเกี่ยวกับอบายมุข
เขาผู้นั้น ย่อมเป็นผู้ที่ขาดสำนึกรับผิดชอบต่อศีลธรรมทางเศรษฐกิจ คือ ขาดความรับผิด
ชอบต่อการประกอบสัมมาอาชีพ
จึงเป็นการทำลายความสำนึกรับผิดชอบต่อศักดิ์และศรี
แห่งความเป็นมนุษย์ของตัวเอง และสำนึกรับผิดชอบต่อศักดิ์และศรี แห่งความเป็นมนุษย์
ของผู้อื่นอย่างโหดเหี้ยม
เพราะขึ้นชื่อว่าอบายมุข อันเป็นปากทางแห่งความเสื่อมนี้ หากทอดยาวไปถึง
ปากประตูบ้านใคร บ้านนั้น ครอบครัวนั้น ตระกูลนั้น ย่อมพังพินาศ ถึงกับบ้านแตก
สาแหรกขาดลงมาได้โดยง่าย เริ่มต้นที่ อบายมุขทั้งเศรษฐกิจในบ้านก่อน แล้วทำให้เกิด
การกระทบกระทั่งภายในบ้าน กลายเป็นความพังพินาศทางด้านจิตใจขึ้นมาอีก การจะ
รักษาคุณสมบัติของคนดีในข้ออื่นๆ ย่อมเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก
กล่าวโดยสรุปคือ ใครก็ตามที่มองไม่เห็นโทษของอบายมุข และเป็นตัวการในการ
แพร่ระบาดอบายมุข คนๆ นั้น คือผู้ที่ทำลายความดีของตัวเอง และเป็นตัวการทำลาย
ความเป็นคนดีของบุคคลอื่นๆ ที่อยู่ร่วมในสังคมให้เสื่อมไป
ดังนั้น หากยังไม่สามารถขจัดอบายมุขให้หมดไปจากโลกได้ การจะสร้างคนให้เป็น
คนดีก็จะทําได้ยากลำบาก
เพราะฉะนั้น มาตรฐานของคนดีที่โลกต้องการ ประการที่ 3 คือ คนดีต้องมีสำนึก
รับผิดชอบต่อศีลธรรมทางเศรษฐกิจ ด้วยการไม่ยุ่งเกี่ยวกับอบายมุข 6 โดยเด็ดขาด
พระผู้มีพระภาคผู้สุคตศาสดา ครั้นตรัสเวยยากรณภาษิตนี้แล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า
เพื่อนในโรงสุราก็มี เพื่อนดีแต่พูดก็มี เมื่อมีเรื่องเกิดขึ้น ผู้ใดเป็นเพื่อนได้ ผู้นั้นจัดว่าเป็น เพื่อนแท้
เหตุ 6 ประการนี้ คือ
1. การนอนตีนสาย
2. การเป็นชู้กับภรรยาผู้อื่น
บ ท ที่ 7 สิ ง ค ล ก สู ต ร DOU 261