ข้อความต้นฉบับในหน้า
ในพระพุทธศาสนาแบ่งอบายมุขออกเป็น 6 ประเภทใหญ่ คือ
1) การติดสุราเมรัย รวมทั้งสิ่งเสพติดประเภทต่างๆ
2) การชอบเที่ยวกลางคืน
3) การติดการดูการละเล่น
4) การติดการพนัน
5) การคบคนชั่วเป็นมิตร
6) การเกียจคร้านในการทํางาน
ทำไมอบายมุขจึงเป็นทางแห่งความฉิบหาย
แท้ที่จริงนั้นอบายมุขแต่ละอย่างหาคุณไม่ได้เลย มีแต่จะก่อให้เกิดโทษภัยมากมายแก่คนเรา
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงโทษของอบายมุขที่จะเกิดขึ้นกับบุคคลที่เสพคุ้นหรือเกี่ยวข้องไว้อย่าง
น้อยประเภทละ 6 ประการ พอเป็นตัวอย่าง ดังนี้ 1
1) โทษของการเสพสุราเมรัย รวมทั้งสิ่งเสพติดประเภทต่างๆ มี 6 ประการ ดังนี้
1.1) ทำให้เสียทรัพย์ทันตาเห็น
1.2) ทำให้เสียอารมณ์ คนอารมณ์เสียเนื่องจากความมึนเมาย่อมชอบก่อการทะเลาะวิวาท
กัน ซึ่งในที่สุดก็จะหนีไม่พ้นปัญหาที่ทำให้เสียทรัพย์ตามมาอีก
1.3) ทำให้เสียสุขภาพ เรื่องนี้มีหลักฐานทางการแพทย์ยืนยันมาเป็นเวลาช้านานแล้ว เมื่อ
สุขภาพเสีย ผู้เสพก็จำเป็นต้องเสียทรัพย์ซ่อมสุขภาพอย่างไม่น่าจะต้องเสีย
1.4) ทำให้เสียชื่อเสียง ผู้เสพสุรามึนเมา ย่อมควบคุมสติสัมปชัญญะไม่ได้ ย่อมทำกรรม
กิเลส 4 ได้เสมอ ซึ่งนอกจากเป็นเหตุให้เสียชื่อเสียงแล้ว ยังต้องเสียทรัพย์เพื่อแก้ปัญหาต่างๆ ที่ตามมาอีก
1.5) ทำให้เสียคน ผู้เสพสุรามึนเมาที่ก่อกรรมกิเลส 4 นอกจากจะเสียชื่อเสียง และเสียทรัพย์
เพื่อแก้ปัญหาที่ตนก่อไว้แล้ว ยังอาจต้องกลายเป็นคนหมดอนาคต เสียผู้เสียคนไปอีกด้วย
1.6) ทำให้เสียความฉลาด ฤทธิ์ของน้ำเมา และยาเสพติดทุกประเภท ย่อมทำลายสติ
ปัญญาของผู้เสพ ดังที่ปรากฏ ให้เห็นกันโดยทั่วไป ว่าพอเหล้าเข้าปากก็กลายเป็นเสมือนคนปัญญาอ่อน ถ้า
เสพไปนานๆ นอกจากจะมีผลให้ปัญญาเสื่อมทรามลงเรื่อยๆ แล้ว ก็จำเป็นต้องเสียทรัพย์บำบัดรักษากันอีก
จากโทษทั้ง 6 ประการที่ยกมากล่าวนี้ นักศึกษาย่อมเห็น แล้วว่าโทษแต่ละประการจะก่อให้
เกิดปัญหากระทบกระเทือนต่อเศรษฐกิจของผู้เสพ ทั้งทางตรงและทางอ้อมอย่างมากทีเดียว
- สิงคาลกสูตร ที. ปา. มก 16/175/79
บ ท ที่ 2 คุ ณ ส ม บั ติ ข อ ง ค น ดี ที่โลกต้องการ DOU 75