ข้อความต้นฉบับในหน้า
3) โทษของการติดการดูการละเล่น
การดูการละเล่น หมายถึง การดูมหรสพต่างๆ นั่นเอง จึงเข้าใจว่าพระพุทธองค์ไม่ได้ทรงห้าม
เรื่องนี้โดยเด็ดขาด อาจจะไปดูบ้างเป็นครั้งคราว เพื่อเป็นการพักผ่อนหย่อนใจ ก็ไม่ถือเป็นเรื่องเสียหาย สิ่ง
ที่พระพุทธองค์ทรงชี้โทษ คือการหมกมุ่นกับสิ่งบันเทิงเริงรมย์ ชนิดที่เรียกว่าการเสพติด ดังที่ตรัสแสดงไว้
พอเป็นตัวอย่าง 6 ประการ คือ
3.1) รำที่ไหนไปที่นั่น
3.2) ขับร้องที่ไหนไปที่นั่น
3.3) ประโคมที่ไหนไปที่นั่น
3.4) เสภาที่ไหนไปที่นั่น
3.5) บรรเลงที่ไหนไปที่นั่น
3.6) เถิดเทิงที่ไหนไปที่นั่น
ใครก็ตามที่มีพฤติกรรมในทำนองเดียวกับตัวอย่างทั้ง 6 ประการนี้ ย่อมฟ้องว่าเขาหมกมุ่นอยู่
กับสิ่งบันเทิงเริงรมย์ จนทำให้เสียเวลาในการทำมาหากิน วิถีชีวิตเช่นนี้ ในที่สุดก็จะประสบกับปัญหา
เศรษฐกิจอย่างไม่ต้องสงสัย
บุคคลที่มีสัมมาทิฏฐิเข้าไปอยู่ในใจ ย่อมมองออกว่าการประสบกับปัญหาเศรษฐกิจจะเป็น
ปัจจัยสำคัญยิ่ง ที่ผลักดันบีบคั้นคนเราให้ต้องก่อกรรมชั่วเพื่อความอยู่รอดนั้นย่อมหมายถึง การนำตนไปสู่
ความฉิบหายอย่างไม่มีทางเลี่ยง
4) โทษของการติดการพนัน
ขึ้นชื่อว่าการพนันย่อมมีแต่โทษประการเดียว หาคุณไม่ได้เลย ทั้งนี้เพราะ ผู้เข้าไปสู่วงการ
พนันทุกคน ล้วนเตรียมตัวเตรียมใจไป “ได้” ทั้งสิ้น ไม่มีใครคิดจะไป “เสีย” นั่นคือเตรียม ไปทำให้คนอื่น
ฉิบหายนั่นเอง แต่โดยทั่วไปความฉิบหายก็ย้อนกลับมาสู่ตนเองอย่างหนีไม่พ้น
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงชี้โทษของการติดการพนันไว้ พอเป็นตัวอย่าง 6 ประการ คือ
4.1) ผู้ชนะย่อมก่อเวร ในวงการพนัน ผู้ชนะย่อมได้ ทรัพย์จากผู้แพ้ ฝ่ายผู้แพ้ย่อมเสียดาย
เสียใจ หรือถึงขั้นสิ้นเนื้อประดาตัว จึงคิดแก้แค้นเอาเงินคืน นั่นคือผู้ชนะได้ก่อเวรให้กับตนเองแล้ว
4.2) ผู้แพ้ย่อมจองเวร ความคิดของผู้แพ้มีอยู่เรื่องเดียว คือการแก้แค้น เพื่อเอาเงินคืน
ถ้าไม่สามารถแก้แค้นด้วยเกมการพนัน ก็อาจใช้วิธีอย่างอื่นที่ร้ายแรงได้ นั่นคือการจองเวรของผู้แพ้การพนัน
4.3) ผู้แพ้ย่อมเสื่อมทรัพย์ในปัจจุบัน ผู้ที่ติดการพนัน ในบางครั้งอาจจะมีเงินทองใช้จ่าย
ฟุ่มเฟือยเมื่อเป็นผู้ชนะ เมื่อเป็นผู้แพ้ก็หมดตัว เป็นหนี้เป็นสิน แต่ในที่สุดแล้ว นักพนันส่วนใหญ่ล้วนอยู่ใน
บ ท ที่ 2 คุ ณ ส ม บั ติ ข อ ง ค น ดี ที่โลกต้องการ DOU 77