ข้อความต้นฉบับในหน้า
ปัจจัย 4 การทำงานประกอบอาชีพ ก็เพื่อหาทรัพย์สินมาเป็นเครื่องแลกเปลี่ยนปัจจัย 4 เพื่อสงเคราะห์
ญาติมิตรเพื่อนฝูง ตลอดจนเพื่อบริจาคเป็นทาน กุศล สั่งสมบุญไว้ในภพเบื้องหน้าต่อไป
คนที่เกียจคร้านในการทำงาน หรือทำงานคั่งค้าง เกียจคร้านในการทำมาหากิน ปล่อยให้
เวลาล่วงไปๆ โดยเปล่าประโยชน์ ถือว่าเป็นคนที่ตายแล้วทางด้านความคิดและความดี
คนบางคนเกียจคร้านในการทำมาหากิน ทั้งๆ ที่ยากจน ย่อมหาวิธีเอาตัวรอดด้วยการเอาเปรียบ
เบียดเบียนผู้อื่นด้วยวิธีการต่างๆ ด้วยการทำตัวเป็นกาฝากของสังคม ด้วยการทำลายสิ่งแวดล้อม และ
แหล่งทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อให้ได้ทรัพย์มาใช้จ่าย
ส่วนบางคนที่มีมรดกมากมายจึงเกียจคร้านในการทำงาน ย่อมจะปล่อยให้เวลาล่วงไปกับ
อบายมุขต่างๆ เหล่านี้คือที่มาแห่งความเสื่อมโทรมด้านศีลธรรมในสังคม และศีลธรรมทางเศรษฐกิจ ด้วย
เหตุนี้ความเกียจคร้านในการทำงาน จึงเป็นทางแห่งความฉิบหายอย่างหนึ่งของคนเรา
บุคคลที่ชื่อว่าเกียจคร้านในการทำงาน มีพฤติกรรม อย่างไร
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสแสดงนิสัยและพฤติกรรมของคนเกียจคร้านไว้ให้ดู พอเป็นตัวอย่าง
6 ประการด้วยกัน คือ
6.1) มักอ้างว่าหนาวนัก แล้วไม่ทำงาน
6.2) มักอ้างว่าร้อนนัก แล้วไม่ทำงาน
6.3) มักอ้างว่าเย็นแล้ว แล้วไม่ทํางาน
6.4) มักอ้างว่ายังเช้าอยู่ แล้วไม่ทำงาน
6.5) มักอ้างว่าหัวค่ำนัก แล้วไม่ทำงาน
6.6) มักอ้างว่ากระหายนัก แล้วไม่ทำงาน
ใครก็ตามที่ชอบผัดวันประกันพรุ่ง ยกข้ออ้างต่างๆ ในทำนองเดียวกันนี้ แล้วไม่ทำงาน ก็ย่อม
แสดงได้อย่างชัดเจนว่า เป็นคนที่มีนิสัยเกียจคร้าน เป็นคนเอาดีไม่ได้ จึงไม่ใช่คนดี
จากเรื่องโทษของอบายมุขทั้ง 6 ประเภทใหญ่ ที่กล่าวมานี้ นักศึกษาคงจะพบคำตอบด้วย
ตนเองแล้วว่า ทำไมอบายมุขจึงชื่อว่าเป็นทางแห่งความฉิบหาย บุคคลที่มีสัมมาทิฏฐิฝังแน่นอยู่ในใจ ย่อม
ตระหนักถึงโทษภัยร้ายแรงของอบายมุขเป็น อย่างดี จึงเว้นขาดจากอบายมุขทั้งปวง จะมีก็แต่เหล่ามิจฉา
ทิฏฐิชนเท่านั้น ที่พอใจเกลือกกลั้วอยู่กับอบายมุข เฉกเช่น แมลงเม่าที่ชอบบินเข้ากองไฟ ฉะนั้น
เพราะฉะนั้น จึงกล่าวได้ว่า บุคคลที่มีสัมมาทิฏฐิเข้าไปอยู่ในใจอย่างมั่นคง ย่อมมีความ
สำนึกรับผิดชอบต่อศีลธรรม ทางเศรษฐกิจ นี่คือความรับผิดชอบประการที่ 3 ของคนดีที่โลกต้องการ
บ ท ที่ 2 คุ ณ ส ม บั ติ ข อ ง ค น ดี ที่โลกต้องการ
DOU 79