ข้อความต้นฉบับในหน้า
ธรรมะเพื่อประช
สารธรรม ของชีวิต
๗๕
และไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงแล้วย่อมละความพอใจในสังขารร่างกาย
เวทนา ๓ อย่างนี้ คือ สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขม
สุขเวทนา เวทนาเหล่านั้นเกิดขึ้นเพราะจิตเป็นปัจจัยปรุงแต่ง
เป็นสุข เป็นทุกข์ บางครั้งก็ไม่สุขไม่ทุกข์ เมื่อพิจารณาเห็นอย่างนี้
ย่อมหน่ายทั้งในสุขเวทนา ทุกขเวทนา และในอทุกขมสุขเวทนา
เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด คลายความยึดมั่นถือมั่น
เมื่อคลายความยึดมั่น จิตก็หลุดพ้น เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว ก็มีญาณ
หยั่งรู้ว่าหลุดพ้นแล้วรู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้วกิจที่ควรทำก็ทำเสร็จแล้ว
กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้ไม่มีอีกแล้ว ผู้มีจิตหลุดพ้นย่อมไม่
วิวาทแก่งแย่งกับใครๆ โวหารใดที่ชาวโลกพูดกัน ก็พูดไปตาม
โวหารนั้น แต่ไม่ยึดมั่นด้วยทิฏฐิเหล่านั้นเลย
ทีฆนขะได้พิจารณาธรรมตามที่พระพุทธองค์ทรงเทศนา
ก็เข้าใจตามความเป็นจริงว่า ที่ตนเคยยึดถือมานั้น ยังทําให้
ติดข้องอยู่กับภพสาม ไม่สามารถสลัดตนให้หลุดพ้นจากเครื่อง
ร้อยรัด คืออาสวกิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในใจได้ ท่านได้พิจารณา
เห็นธรรมด้วยตัวเองว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับไปเป็นธรรมดา ทําให้ละคลายความ
เห็นผิดๆ ทั้งหมดที่เคยยึดถือมา แล้วทำใจหยุดนิ่งปล่อยใจไป
ตามกระแสพระธรรมเทศนา จนได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน