ข้อความต้นฉบับในหน้า
ธรรมะเพื่อประชา
ผลแห่งการเข้าถึงพระรัตนตรัย
៤៤៩
ทําให้ท่านเกิดมหาปีติ จึงได้นั่งทำสมาธิเจริญภาวนา ทำจิตให้
เป็นหนึ่งมีอารมณ์เดียว คือมีพระรัตนตรัยเป็นอารมณ์ ในที่สุด
ก็ได้บรรลุอรหัตตผล เมื่อหมดกิเลสเป็นพระอรหันต์แล้ว ท่านจึง
บอกลาบิดามารดา สละฆราวาสวิสัยออกบวชเป็นบรรพชิต ได้
ทูลขอบวชกับพระบรมศาสดา เป็นพระอรหันต์ผู้ทรงอภิญญา
ได้บรรลุวิชชา ๓ วิชชา ๘ อภิญญา ๖ ปฏิสัมภิทาญาณ ๔
วิโมกข์ ๘ และจรณะ ๑๕ ท่านเป็นผู้ได้บรรลุธรรมแบบสุขาปฏิปทา-
ขิปปาภิญญา คือปฏิบัติได้สะดวก ตรัสรู้ได้อย่างรวดเร็ว รู้แจ้ง
แทงตลอดในคําสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตั้งแต่เยาว์วัย
เมื่อท่านมีลูกศิษย์ ท่านมักจะกล่าวสอนศิษย์อยู่เสมอว่า
“ขอให้ท่านทั้งหลาย จงรับเอาไตรสรณคมน์เถิด แล้วจงยังจิต
ของตนให้เลื่อมใสในพระรัตนตรัย ให้มีพระรัตนตรัยเป็นอารมณ์
ท่านทั้งหลายจะได้พบอมตมหานิพพาน สามารถกระทำให้ถึง
ที่สุดแห่งทุกข์ได้ แม้ตัวท่านก็ได้สำเร็จสมปรารถนาทุกอย่าง
เพราะอานุภาพแห่งพระรัตนตรัยอันไม่มีประมาณ
เราจะสังเกตเห็นว่า อานุภาพของพระรัตนตรัยยิ่งใหญ่
ไม่มีประมาณ จะเป็นเหตุให้เราได้บรรลุมรรคผลนิพพาน ดังนั้น
พระรัตนตรัยจึงเป็นสิ่งที่จะต้องยึดเอาเป็นสรณะ
เป็นที่พึ่ง
ที่ระลึกให้ได้ ตราบใดที่เรายังเข้าไม่ถึงพระรัตนตรัย ต้องทุ่มเท