ข้อความต้นฉบับในหน้า
ธรรมะเพื่อประชา
ต้นแบบแห่งความดี
๔๖๓
ยังข่มกิเลสไว้ได้ จนได้บรรลุถึงขั้นปัจเจกโพธิญาณ” ครั้นตรัส
ดังนี้แล้ว จึงทรงแสดงเรื่องในอดีตว่า
ในครั้งที่พระตถาคตเสวยพระชาติเป็นช่างปั้นหม้อ ได้
ยังชีพด้วยการปั้นหม้อขายเลี้ยงบุตรและภรรยา ครั้งนั้นได้มี
กษัตริย์พระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า เนมิราช ในมิถิลาราชธานี
เช้าวันหนึ่ง เมื่อท้าวเธอเสวยเสร็จแล้ว ก็เสด็จออกประทับที่
ช่องพระแกล ได้แลเห็นเหยี่ยวตัวหนึ่ง คาบชิ้นเนื้อบินขึ้นไป
ในอากาศ ขณะนั้น มีหมู่สกุณชาติทั้งกาและนกตะกรุม รุมกัน
แย่งชิ้นเนื้อนั้นไปจากเหยี่ยว เหยี่ยวถูกรุมจิกตีได้รับความเจ็บปวด
จึงต้องปล่อยชิ้นเนื้อไปด้วยความอาลัยอาวรณ์
พระเจ้าเนมิราชทรงเห็นอาการเช่นนี้ จึงทรงดำริว่า
กามคุณทั้งหลายเปรียบเหมือนกับชิ้นเนื้อ ย่อมนำความทุกข์
มาให้แก่ผู้ที่ติดข้องอยู่ ส่วนตัวเราก็ยังมีบริวารเป็นเครื่องข้อง
มีเบญจกามคุณล้อมรอบ แวดล้อมด้วยหญิงงามหมื่นหกพันนาง
ควรที่เราจะละกามคุณเสีย แล้วแสวงหาสุขที่ประเสริฐยิ่งกว่า
เมื่อทรงดำริอย่างนี้ ก็ทรงพิจารณาไตรลักษณญาณ เจริญวิปัสสนา
ก็ได้สําเร็จปัจเจกโพธิญาณ ณ ที่ตรงนั้นเอง
พระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงตรัสเล่าเรื่องต่อไปว่า ยังมี
กษัตริย์อีกพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่า ทุมมุขะ ในกบิลนคร