ข้อความต้นฉบับในหน้า
ธรรมะเพื่อประชา
ผู้มีขันติธรรมเป็นเลิศ
២៩២
ท้าวสักกะท่านทรงเป็นพระโสดาบันแล้ว ไม่ยินดีการฆ่า
หรือทําร้ายคนอื่น จึงอธิบายให้ฟังว่า “ผู้ใดรู้ว่าคนอื่นโกรธแล้ว
เป็นผู้มีสติ สงบระงับได้ เราเห็นว่าการสงบระงับได้ของผู้นั้นแล
เป็นการก้าราบคนพาล” มาตลีเทพบุตรฟังแล้วก็ยังไม่เข้าใจ
กระจ่างแจ้ง จึงกราบทูลว่า “ข้าแต่ท้าววาสวะ ข้าพระองค์
เห็นโทษในความอดทนนี้ว่า เมื่อใด คนพาลย่อมสําคัญบุคคลนั้น
ว่า ผู้นี้ย่อมอดกลั้นต่อเราเพราะความกลัว เมื่อนั้น คนมีปัญญา
ทราม ยิ่งข่มขู่ผู้นั้น เหมือนโคยิ่งข่มขู่โคตัวแพ้ที่หนีไป ฉะนั้น”
ท้าวสักกะได้ตรัสว่า “บุคคลจงสำคัญว่า ผู้นี้อดกลั้นต่อเรา
เพราะความกลัวหรือหาไม่ก็ตามที ประโยชน์ทั้งหลายมี
ประโยชน์ของตนเป็นอย่างยิ่ง ประโยชน์ยิ่งกว่าขันติไม่มี ผู้ใด
เป็นคนมีกำลัง อดกลั้นต่อคนผู้ทุรพลไว้ได้ ความอดกลั้นของผู้นั้น
บัณฑิตทั้งหลายกล่าวว่า เป็นยอดแห่งขันติ บัณฑิตทั้งหลาย
กล่าวกำลังของผู้ซึ่งมีกำลังอย่างคนพาล ว่ามิใช่กำลังที่แท้จริง
ไม่มีผู้ใดที่จะกล่าวโต้ตอบต่อผู้มีกำลัง ผู้ซึ่งธรรมคุ้มครองแล้ว
ได้เลย เพราะความโกรธนั้น โทษที่ลามกจึงมีแก่ผู้ที่โกรธตอบต่อ
ผู้ที่โกรธ
บุคคลผู้ไม่โกรธตอบต่อผู้ที่โกรธ ย่อมชื่อว่าชนะสงคราม
ซึ่งเอาชนะได้ยาก ผู้ใดรู้ว่าผู้อื่นโกรธแล้ว เป็นผู้มีสติระงับไว้ได้