ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประโยค - ปฐมมันตุปสาทกาแปล ภาค ๑ - หน้าที่ 175
อธิบรร ที่พื้นด้วยดี หรือที่พื้นจากกลาสมืออย่างต่าง ๆ เพราะ-
ฉะนั้น อธิบรรคนั้น จึงอ้างว่าโมฆะ ก็แล้ว วิญญาณนี้นั้น ท่าน เรียกว่า " สงคุตรวิมังก์ " เพราะปล่อยภาระ โทษะ และโมฆะ
ท่านเรียกว่า " อนิมิตวิมังก์ " เพราะไม่มีมินิตด้วยมินิต คือ ราคะ โทสะ และโมฆะ ท่านเรียกว่า " อัปนิมิตวิมังก์ " เพราะไม่มีทีตั้ง คือ ราคะ โทสะ และโมฆะ ธรรมชาติก็ชื่อว่า สมิติ เพราะอธรรว ว่า ตั้งจิตไว้สมอ คือ ตั้งจิตไว้ในอารามดี ที่ชื่อว่า สมาติ เพราะ เป็นธรรมชาติ ที่พระอธิฆเจาทั้งหลายทั้งเข้า บบทที่เหลือในคำหลานี้ มันต้องกล่าวว่าแล้วนั้นแหละ คืออธิบรรเทียว พระผู้มิพระภาคเจ้าตรัสไว้ในทีเหล่านี้ ด้วยหมวด ๑ แห่งวิมังค์ และด้วยหมวด ๓ แห่ง สมิติ ผลสมบัติ ตรัสไว้ด้วยหมวด ๓ แห่งสมิติ ในบทหลานนั้น กิริย้อธาเอาอทอันใดจึงเพียงบทเดียว กล่าวว่า " ข้าพเจ้าเป็นปกติได้เองธรรมนี้ " ย่อมเป็นปราชิกแท้.
ที่ชื่อว่า วิชชา ๓ ได้แก่ บูเพนิวาสาสุขสมศี ทิพพจักขุ คาสาวะขอญาณ. ในวิชชา ๓ นั้น เมื่อติกะอดอใจชื่อแห่งวิชชา อันหนึ่งอวดว่า " ข้าพเจ้ามิได้วิชชา นี้ ย่อมเป็นปราชิกแท้. แต่ในสังขปอรรถก ท่านกล่าวว่า " เมื่อภิกษุกล่าวว่า " ข้าพเจ้ามิ ปกติได้วิชชา" ย่อมเป็นปราชิกแท้. แต่ในสังขปอรรถก ท่านกล่าวว่า " เมื่อภิกษุกล่าวว่า " ข้าพเจ้ามิได้วิชชา ๓ ดังนี้ก็ดี ย่อมเป็นปราชิกเหมือนกัน." มรรคาวนา ได้กล่าวแล้วในบทมยนะโจ โพธิปิจฉธรรม ๓๓ ประการ ที่สัปปุตด้วยมรรค เป็นโลคุตระแท้ ท่านประสงค์เอาในบทว่า " มรรคาวนา." นี้ เพราะ- เหตุจำในมหาวรรค ท่านจึงกล่าวว่า " เป็นปราชิกแห่งภิกษุ