ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประโยค - ปฐมลัมป์ปสกัดภาค ๑ หน้า ๑79
ประมาณได้ เพราะท่านได้อธิษฐานไว้แล้วว่า "ภิกษุย่อมไม่ต้องปฏิบัติ
ด้วยเหตุเพียงเท่านี้."แม่แบบอีกกฎว่า " ข้าเจ้าเข้าสโรงสมบัติ "
หรือว่า " ข้าเจ้าเป็นผู้มีปกติได้บรรลุสมบัติแล้ว" ก็ไม่เป็นปฏิสัมพันธ์
เพราะเหตุไง? เพราะเหตุว่า นิรีสมบัติไม่ใช่โลก๊ะ ทั้งไม่ใช่
โลกุตตระ แน่นี่แหละ
ในมรรคปัจจิและสังฆปาราชิก ท่านกล่าวไว้ว่า " กัลยบุคคล
นั่นมีความรำรึงอย่างนี้ว่า' พระอานามี หรือพระธิษฐาน ฯ ย่อมเข้า
นิรีได้, จึงพากรณ์ต่อว่าเข้าไว้ในไวว่า ชนจักรู้ว่าเป็นผู้ได้หนึง
แห่งบรรพพระอานามีและพระธิษฐานหนักนั่น,' และเขาก็เข้าใจเธอ
อย่างนั้น, เป็นปฏิภาพ," คำนี้ ควรพิจารณาเสียก่อน จึงถือเอา.
แม่แบบกฎกว่าว่า " ในภาพที่ล่วงไปแล้ว คือ ในกาลแห่งพระกัสป-
สัมมาสัมพุทธเจ้า ข้าพเจ้าเป็นพระโลกลับ' ไม่เป็นปฏิสัมพันธ์, จริงอยู่
อาบัตยงัดไม่ถึงที่สุด เพราะเธอัจฉาลงจีบในว่าว่า 'ชนจักรู้ว่าเป็นผู้ได้หนึ่ง
แห่งบรรพพระอานามีและพระธิษฐานเหมือนกัน,' และเขาก็เข้าใจเธอ
อย่างนั้น, เป็นปฏิภาพ," คำนี้ ควรพิจารณาเสียก่อน จึงถือเอา.
แม่แบบกฎกว่าว่า " ในภาพที่ล่วงไปแล้ว คือ ในกาลแห่งพระกัสป-
สัมมาสัมพุทธเจ้า ข้าพเจ้าเป็นพระโลกลับ, "ไม่มีปฏิสัมพันธ์, จริงอยู่
อาบัตยงัดไม่ถึงที่สุด, เพราะเธอจึงยังขึ้นก็ที่ล่วงไปแล้วแหละ.
ส่วนในสังฆปารัสกะ ท่านกล่าวไว้ว่า " منอาจารย์กล่าวว่า " เมื่อภิกษุ
กล่าวหมายอัศจิกในอดีต ไม่เป็นปฏิสัมพันธ์, ต่อเมื่อกล่าวหมายเอา
อัศจิกในปัจจุบันนั่นแหละ จึงเป็น."
พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้งทรงยังบทธมาภาค๑๐ มีนาคมเป็นต้น