ข้อความต้นฉบับในหน้า
1.5.3 เหตุที่ทำให้พระสูตรทั้งสองเหมาะแก่การเป็นแม่บทฝึกอบรม
จะเห็นว่าพระสูตรทั้งสองมีจุดเด่นสำคัญในตัวเองอยู่หลายประการที่ทำให้เหมาะจะนำมาเป็นแบบ
หรือแม่บทในการฝึกอบรม เป็นต้นว่า
1. เป็นพระสูตรที่มีความยาวพอดี ไม่สั้นมากนัก และไม่ยาวจนเกินไป ทำให้สามารถจดจำเนื้อความ
สำคัญได้ง่าย
2. บอกลำดับขั้นตอนของการฝึกไว้เป็นข้อๆ ต่อเนื่อง ชัดเจน
3. ขั้นตอนและวิธีการฝึกเรียงลำดับจากง่ายไปยาก
4. เนื้อหาในแต่ละขั้นตอนไม่ยากแก่การทำความเข้าใจจนเกินไป
5. พระภิกษุทั่วๆ ไปสามารถฝึกตามไปได้ไม่ยากนัก
1.6. ประโยชน์ที่ฆราวาสจะพึงได้จากการศึกษาพระสูตรแม่บท
แม้พระสูตรทั้งสองดังกล่าวจะเป็นบทฝึกที่สำคัญสำหรับพระภิกษุก็ตาม แต่ไม่ได้หมายความว่า
ฆราวาสที่สนใจศึกษาจะไม่สามารถแสวงหาประโยชน์อันใดทั้งนี้เพราะคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ว่า
จะเป็นบทเทศน์หรือพระสูตรใด ก็ล้วนแต่หวังประโยชน์ให้ผู้ฟังนำไปฝึกปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นจากทุกข์ได้
เหมือนกัน
การบรรลุมรรคผลนิพพาน ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดของมนุษย์ทุกชีวิต มิใช่จะได้กันมาโดยง่ายดาย
ทุกชีวิตต่างต้องขวนขวาย พยายามสั่งสมบุญบารมีของตัวเองเรื่อยไป และไม่ว่าตนเองจะใช้ชีวิตอยู่ใน
สถานภาพไหน ก็ต้องวางเป้าหมายของตนเองไว้ 3 ระดับด้วยกัน หลังจากนั้นจึงพากเพียรพยายามทำ
เป้าหมายของตนเองให้สำเร็จลุล่วงไป โดยหลักใหญ่แล้ว แต่ละเป้าหมายล้วนส่งเสริมกันและกันไปสู่การ
พ้นทุกข์ ซึ่งก็คือการทำให้กาย วาจา ใจ ของตนเองใสสะอาดบริสุทธิ์นั่นเอง
สำหรับพระภิกษุเมื่อบวชมา ต่างก็มีจุดประสงค์ที่จะฝึกฝนอบรมตนเองให้พ้นจากกองทุกข์ทั้งนั้น
ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงแนะนำให้ศึกษาใน อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา ดังที่ได้กล่าวมาตั้งแต่ต้น
การศึกษาในอธิศีล ก็เพื่อที่จะอาศัยศีลมาเป็นเครื่องควบคุม “กาย” และ “วาจา” ไม่ให้พลาดพลั้ง
ไปทำความชั่ว หรืออกุศลกรรมใดๆ กาย และวาจา ก็จะสะอาดบริสุทธิ์ยิ่งขึ้น และช่วยให้ใจสงบ สะอาด ไป
ด้วยในที่สุด
การศึกษาในอธิจิต หรือการฝึกฝนอบรมจิตก็คือการฝึกสมาธิภาวนาทั้งนี้เพื่อจะได้อาศัยสมาธิมาเป็น
18 DOU แม่บท การฝึกอบรมในพระพุทธศาสนา