ข้อความต้นฉบับในหน้า
ลักษณะที่ 1 ต้องไม่บริโภคเพื่อจะเล่น หมายความว่าไม่มุ่งการบริโภคให้มีเรี่ยวแรงไปเล่นคะนอง
เหมือนเด็กๆ รวมทั้งไม่มุ่งเอากำลังมากอย่างลูกผู้ชาย ดังเช่นพวกนักมวย ทั้งนี้เพื่อมุ่งหวังให้ละอุปนิสัย
แห่งโมหะ และโทสะ คือ ความงมงาย และความขึ้งเคียดโกรธเคืองเสีย
ลักษณะที่ 2 ต้องไม่บริโภคเพื่อมัวเมา หรือติดในรสอาหาร เพื่อให้ละอุปนิสัยแห่งโลภะ หรือ
ความติดใจในกามคุณ
จุดมุ่งหมายของ 2 ลักษณะแรกนี้ เพื่อป้องกันอาสวะ อันจะเกิดขึ้นในใจตนเอง
ลักษณะที่ 3 ต้องไม่บริโภคเพื่อจะประดับ หมายความว่า ไม่มุ่งความอวบอัดอ้วนพี่ของอวัยวะ
ต่างๆ เช่น หญิงโสเภณี หญิงนักฟ้อน เป็นต้น ทั้งนี้ก็เพื่อละอุปนิสัยแห่งความกำหนัดยินดี
ลักษณะที่ 4 ต้องไม่บริโภคเพื่อจะตกแต่ง หมายความว่า ไม่มุ่งจะให้ผิวพรรณงามเช่นกับนักแสดง
หรือตัวละครต่างๆ เพื่อละอุปนิสัยแห่งความกำหนัดยินดีเช่นกัน
จุดมุ่งหมายของ 2 ลักษณะหลังนี้ ก็เพื่อป้องกันอาสวะ อันจะเกิดขึ้นในใจตนเอง รวมทั้งที่จะเกิด
ขึ้นในใจผู้อื่นด้วย
เมื่อตรัสสอนในเชิงให้ละและป้องกันกิเลสแล้วก็ยังทรงสอนถึงวัตถุประสงค์ที่ถูกต้องของการบริโภค
ต่อไป แบ่งออกเป็น 4 วัตถุประสงค์ คือ
วัตถุประสงค์ที่ 1 เพื่อให้ร่างกายนี้ดำรงอยู่ได้ ไม่แตกสลายตายไป
วัตถุประสงค์ที่ 2 เพื่อให้ชีวิตดำเนินต่อไปได้
วัตถุประสงค์ที่ 3 เพื่อบรรเทาความลำบาก ที่เกิดจากความหิว
วัตถุประสงค์ที่ 4 เพื่ออนุเคราะห์พรหมจรรย์ คือเพื่อจะได้มีเรี่ยวแรงไปสร้างความดี
การที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้หลักการฝึกฝนพระภิกษุผ่านทางการบริโภคอาหาร โดยให้รู้จักหลัก
การพิจารณาในการบริโภคอย่างแยบคาย ก็เพราะมีส่วนสำคัญในการละอุปนิสัยที่ไม่ดีภายใน ทั้งช่วยไม่ให้
กิเลสในใจพอกพูนขึ้นในทุกๆ คำกลืน ซึ่งจะส่งผลให้มีสุขภาพกายแข็งแรง เพราะไม่มีความลำบากอันเกิด
จากเวทนาเก่า คือ ความหิว หรือเวทนาใหม่ คือความอิ่มเกินพอดี รวมทั้งส่งเสริมการบำเพ็ญสมณธรรม
และประพฤติพรหมจรรย์ให้ดำเนินไปได้อย่างปกติสุขซึ่งหากพระภิกษุไม่ระมัดระวังตัวเองในเรื่องนี้ย่อมจะเกิด
ผลเสียอย่างใหญ่หลวงตามมา เหมือนเรื่องของพระภิกษุผู้ไม่รู้จักประมาณในการบริโภคอาหารรูปหนึ่ง ซึ่ง
มรณภาพเพราะฉันอาหารมากเกินไป พระพุทธองค์ทรงระลึกชาติมาเล่าให้พระภิกษุฟังไว้ ดังต่อไปนี้
บทที่ 2 คณกโมคคัลลานสูตร DOU 35