ข้อความต้นฉบับในหน้า
2. ต้องพยายามทำความเข้าใจศัพท์ที่ไม่เข้าใจให้ได้บ่อยๆ หากไม่เข้าใจ สามารถค้นหาได้จาก
พจนานุกรม เพราะความเข้าใจในศัพท์เหล่านั้น จะช่วยให้เข้าใจสิ่งที่อ่านได้มากขึ้น และยิ่งรู้ศัพท์มากเท่าไร
ความเร็วและความเข้าใจในการอ่านก็จะมากตามไปด้วยเท่านั้น
3. เมื่ออ่านแล้วต้องสรุปใจความให้ได้ ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความคิดรวบยอด หรือข้อสรุปตามที่ตนเข้าใจ
ซึ่งจะช่วยให้สามารถจำธรรมะที่อ่านได้ง่าย เพราะเกิดจากความเข้าใจ ไม่ใช่เกิดจากการท่องจำ
4. บางครั้งอาจต้องเทียบเคียงพระไตรปิฎกเล่มที่อ่าน กับเล่มอื่นๆ ที่แตกต่างกันบ้าง เช่นอาจ
ต้องเทียบฉบับภาษาไทยกับต้นฉบับภาษาบาลี หรือฉบับภาษาไทยกับภาษาไทย ที่ผู้แปลเป็นคนละคนกัน ทั้งนี้
เพื่อเทียบเคียงความถูกต้อง โดยเฉพาะในส่วนที่เกิดข้อสงสัย หรือที่ความเห็นของผู้แปลแตกต่างกันออกไป
ก็จะช่วยให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องยิ่งขึ้น
5. ควรสอบทานความเข้าใจในสิ่งที่อ่านกับผู้ที่รู้มากกว่าเรา
6. ควรมีสมาธิในการอ่าน ซึ่งถ้าจะให้ได้ผลดี อาจนั่งสมาธิให้ใจสงบ สบาย ก่อนที่จะอ่าน เพราะ
ธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นของลุ่มลึก ละเอียดอ่อน ผู้ที่มีใจใส จะสามารถอ่านได้เข้าใจมากกว่า
สำหรับวิธีการรู้ธรรมด้วยการอ่าน ถ้าหากต้องการให้ได้ผลดี ก็คงหนีไม่พ้นการเรียนรู้ด้วยวิธี “ฟัง”
เพราะไม่ว่าจะอ่านอย่างไร ในที่สุดแล้วก็จะเกิดข้อสงสัยในที่ใดที่หนึ่งอย่างแน่นอน เพราะเหตุนั้น การหมั่น
เข้าไปหาผู้รู้เพื่อฟังธรรมดังเช่นครั้งพุทธกาล จึงเป็นวิธีการที่ยังเหมาะสมอยู่ดี
3.5 การแสวงหาปัญญา
เมื่อทราบว่าการฟังมีประโยชน์อย่างนี้จึงเป็นหน้าที่ของพระภิกษุต้องหมั่นเข้าหาผู้ที่จะแนะนำธรรมะ
ให้ตนเองได้ เพราะการฟังเป็นเหตุให้เกิดปัญญา ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน ปัญญาวุฑฒิสูตร ว่า
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม 4 ประการนี้ เป็นไปเพื่อความเจริญปัญญา
ธรรม 4 ประการเป็นไฉน คือ
(1) สปปุริสส์เสโว คบสัตบุรุษ
(2) สทฺธมฺมสฺสวนํ ฟังพระสัทธรรม
(3) โยนิโสมนสิกาโร ทำในใจโดยแยบคาย
(4) ธมฺมานุธมฺมปฏิปตฺติ ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม”
"ปัญญาวุฑฒิสูตร, อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต, มก. เล่ม 35 ข้อ 248 หน้า 613
62 DOU แม่บท การฝึกอบรมในพระพุทธศาสนา