ข้อความต้นฉบับในหน้า
ภิกษุไว้ดังนี้
คิลานปัจจัยเภสัชบริขาร (ยารักษาโรค)
สําหรับยารักษาโรค พระองค์ทรงพิจารณาแล้วกำหนดชนิด หรือประเภทของยาที่เหมาะสมแก่พระ
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรานั้นได้มีความปริวิตก สืบต่อไปว่า เภสัช 5
นี้แล (คือ) เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย เป็นเภสัชอยู่ในตัว และ
เขาสมมติว่าเป็นเภสัช ทั้งสำเร็จประโยชน์ในอาหารกิจแก่สัตวโลก และไม่
ปรากฏเป็นอาหารหยาบ ผิฉะนั้น เราจึงอนุญาตเภสัช 5 นี้แก่ภิกษุทั้งหลาย
ให้รับประเคนในกาลแล้วบริโภคในกาล
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้รับประเคนเภสัช 5 นั้นในกาล แล้ว
บริโภคในกาล”3
สำหรับในเรื่องนี้ พระองค์ทรงพิจารณาถึงประเภทของยาที่เหมาะสม โดยอาศัยหลักเกณฑ์ว่า สิ่ง
นั้นต้องมีสรรพคุณเป็นยาด้วย คนทั่วไปก็ถือว่าสิ่งนั้นเป็นยาอยู่แล้วด้วย และไม่ได้เป็นอาหารหยาบ เหมือน
เช่นข้าวและกับข้าว ที่พระภิกษุบิณฑบาตมาฉัน ส่วนปริมาณการใช้ยา พระองค์ไม่ได้กำหนดไว้ชัดเจน เนื่องจาก
การใช้ยังขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการเจ็บไข้ที่มากน้อยแตกต่างกันไปอีก
6.4 ปัจจัย 4 กับนิสัย
จะเห็นว่า พระสัมมาพุทธเจ้าทรงให้ความสำคัญกับปัจจัย 4 อย่างมากมายในหลายด้าน ทั้งประเภท
ปริมาณ และวัตถุประสงค์ในการใช้ โดยทรงพิจารณาด้วยความรัดกุม แยบคาย ก่อนจะทรงบัญญัติเป็น
พระวินัย หรือมีพุทธานุญาตให้พระภิกษุได้ใช้ ทั้งนี้นอกจากจะเพื่อให้สามารถดำรงชีวิต และทำกิจกรรมต่างๆ
ได้ยังเพื่อความเป็นอยู่ที่เรียบง่าย อันจะเป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่การประพฤติพรหมจรรย์ และทำพระนิพพาน
ให้แจ้งด้วย
ที่ทรงกำหนดด้วยความรัดกุมอย่างนั้น กลับเป็นผลดีต่อการฝึกฝนอบรมตนเองของพระภิกษุ
อย่างมาก เนื่องจากว่าปัจจัย 4 มีผลต่อการพัฒนานิสัย ที่จะเกื้อกูลให้คุณธรรมภายในของพระภิกษุเจริญ
ขึ้นมา
'ปริวิตก หมายถึง ความคิดนึก หรือนึกห่วงใย
ภายหลังทรงอนุญาตเพิ่มเติมให้บริโภคได้ทุกเวลา
เภสัชชขันธกะ, พระวินัยปิฎก มหาวรรค, มก. เล่ม 7 ข้อ 25 หน้า 59
บทที่ 6 ขั้ น ต อ น ที่ 4 มัตตัญญู DOU 123