ข้อความต้นฉบับในหน้า
จากพุทธพจน์แสดงให้เห็นว่า พระองค์ทรงให้ความสำคัญกับกุศลธรรม หรือคุณธรรมของพระภิกษุ
ใน 3 ลักษณะ คือ
ปฏิภาณ
1. ไม่ทรงสรรเสริญพระภิกษุที่มีคุณธรรมหยุดนิ่งอยู่กับที่
2. ไม่ทรงสรรเสริญพระภิกษุที่มีคุณธรรมเสื่อมลง หรือลดน้อยถอยลง
3. ทรงสรรเสริญพระภิกษุที่สามารถพัฒนาคุณธรรมให้เจริญก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นไป
ซึ่งกุศลธรรมที่ทรงตรัสไว้ในที่นี้ หมายถึง การมีความเจริญในศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา และ
เรื่องตัวอย่างการประเมินคุณธรรม
การรู้จักประเมินคุณธรรมในตัวเป็นเรื่องสำคัญในทางพระพุทธศาสนา เพราะหากพระภิกษุไม่
สามารถประเมินได้ ก็อาจพบหลุมพรางของการฝึกฝนอบรมตนเองได้ง่ายๆ เหมือนกัน เหมือนดังเรื่องของ
พระมหาติสสเถระ
พระมหาติสสเถระ
พระมหาติสสเถระ เป็นผู้เข้าถึงสมาบัติ 8 ตั้งแต่บวชได้ 8 พรรษา สามารถแสดงฤทธิ์ได้ และ
ด้วยความที่ท่านได้เรียนและสอบถามธรรมมามาก เวลากล่าวธรรมจึงกล่าวได้ถูกต้องราวกับว่าท่านเป็น
พระอรหันต์ กอปรกับกิเลสถูกข่มเอาไว้ไม่กำเริบขึ้นมา เพราะผลของสมาบัติที่ท่านเข้าถึง จึงทำให้ท่าน
นึกไปว่าตนเองเป็นพระอรหันต์แล้ว แม้เวลาจะผ่านไปจนมีพรรษาได้ 60 พรรษา ก็ยังไม่รู้ว่าตนเองยังคงเป็น
พระปุถุชนอยู่
ต่อมาวันหนึ่ง พระธัมมทินนะผู้เป็นพระอรหันต์ ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของท่านเองมาพบที่อาราม ท่านทราบ
ว่าอาจารย์ของตนเองยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ จึงอยากให้ท่านรู้ตัว จึงชวนสนทนาธรรมไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง
มาถึงเรื่องของการบรรลุธรรม พระธัมมทินนะจึงถามพระมหาติสสเถระว่า “อาจารย์ท่านบรรลุธรรมเมื่อไร”
พระติสสเถระตอบว่า “บรรลุมาได้ 60 ปีแล้ว”
“ท่านใช้อำนาจสมาธิได้หรือไม่” พระเถระตอบว่า “ได้”
พระธัมมทินนะจึงขอให้ท่านช่วยเนรมิตสระน้ำใหญ่ ท่านก็เนรมิตสระให้เกิดขึ้น ขอให้เนรมิตดอกบัว
พระมหาติสสเถระ, อรรถกถา อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต, มก. เล่ม 32 หน้า 67
สมาบัติ 8 หมายถึงรูปฌาน 4 และ อรูปฌาน 4
บทที่ 5 ขั้ น ต อ น ที่ 3 อัตตัญญู DOU 93