ข้อความต้นฉบับในหน้า
ดังนั้น เวลาจึงมีคุณค่ากับทุกๆ ชีวิต และแม้เวลาจะเดินไปโดยที่เราไม่รู้สึกตัวก็ตาม ก็ต้อง
พยายามพิจารณา เพื่อใช้เวลาที่มีอยู่นั้น ให้เป็นประโยชน์กับชีวิตให้มากที่สุด
7.3.2 ความไม่ประมาทในชีวิต
สำหรับผู้รู้จักความจริงของเวลา ว่าสุดท้ายแล้วก็จะนำความตายมาให้ ย่อมจะไม่ประมาทในการ
ดำเนินชีวิต เขาเหล่านั้นจะเร่งขวนขวายในการสร้างความดี เพื่อให้ชีวิตนี้ไปสู่จุดหมายปลายทาง คือการบรรลุ
มรรคผลนิพพาน ซึ่งหนึ่งในบรรดาผู้ที่เห็นคุณค่าของเวลา ก็คือพระภิกษุ ผู้ทิ้งความสนุกสนานเพลิดเพลิน
ในทางโลก มาประพฤติพรหมจรรย์ เพราะเห็นว่าไม่ควรประมาทในการทำความดี แตกต่างจากผู้ที่ไม่เข้าใจ
เหมือนกับเรื่องราวใน รัฏฐปาลสูตร ที่พระเจ้าโกรัพยะ ผู้ครองกุรุรัฐ ถามพระรัฐปาละด้วยความสงสัยใน
การออกบวชของท่านตั้งแต่ยังหนุ่มว่า
“คนบางคนในโลกนี้จะออกบวชก็ต่อเมื่อพบกับความเสื่อม 4 ประการ คือ
1. เสื่อมเพราะความชรา ด้วยเห็นว่าคงทำมาหากินต่อไปก็ไม่ก้าวหน้าอีกแล้ว จึงออกบวช
2. เสื่อมเพราะความเจ็บไข้ได้ป่วย ด้วยคิดว่าคงทำมาหากินต่อไปได้ยาก จึงออกบวช
3. เสื่อมเพราะสิ้นทรัพย์สมบัติ ทำอะไรต่อไปลำบาก จึงออกบวช
4. เสื่อมเพราะไร้ญาติที่จะช่วยเหลือเกื้อกูลกันต่อไป จึงออกบวช”
พระองค์ยังตรัสต่อไปว่า ไม่ทรงเห็นว่าพระรัฐปาละจะเสื่อมจากทั้ง 4 เรื่องแต่อย่างใด
พระรัฐปาละ ไปรู้อะไรมาหรือ ถึงได้ตัดสินใจออกบวชเช่นนั้น
พระรัฐปาละจึงถวายพระพรตอบว่า เพราะได้ฟังธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนไว้ 4 ข้อ
จึงทำให้ท่านตัดสินใจอกบวช คือ
1. โลกอันชรานำเข้าไป ไม่ยั่งยืน หมายถึง วันหนึ่งทุกคนต้องแก่ชราลง ไม่มีใครจะห้ามไม่ให้ตนเอง
แก่ชราได้ ความแข็งแรงที่เคยมีก็จะหายไปด้วย
2. โลกไม่มีผู้ต้านทาน ไม่เป็นใหญ่เฉพาะตน หมายถึง ในยามที่เราเจ็บไข้ได้ป่วย ก็ไม่มีใครจะมา
ช่วยแบ่งเบาความทุกข์จากเราได้ มีแต่เรานั่นแหละ ที่ต้องทนกับทุกขเวทนาด้วยตัวของเราเอง
เรียบเรียงจาก รัฏฐปาลสูตร, มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์, มก. เล่ม 21 ข้อ 440 หน้า 35
บทที่ 7 ขั้ น ต อ น ที่ 5 กาลัญญ DOU 147