ข้อความต้นฉบับในหน้า
2.4.5 ขั้นตอนที่ 5 “ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ”
จากการรู้จักสำรวมกาย วาจาให้เป็นปกติ รู้จักคุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย รู้จักการประมาณ
ในการบริโภค และรู้จักการให้เวลาในการทำภาวนา ไม่เห็นแก่การนอนแล้วใจก็ย่อมได้รับการประคับประคอง
มาอย่างดี วนเวียนใกล้ศูนย์กลางกายได้นาน เป็นสมาธิมากขึ้น ในขั้นต่อไป พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงแนะนำให้
มีสติสัมปชัญญะ คือ มีความระลึกได้ และรู้ตัวในอิริยาบถต่างๆ อยู่ตลอดเวลา ซึ่งในทางปฏิบัติจะหมายความ
ว่า ต้องมีสติตั้งมั่นอยู่ที่ศูนย์กลางกายที่เดียวให้ได้ในทุกอิริยาบถ ดังพระธรรมเทศนาที่พระมงคลเทพมุนี
(สด จนฺทสโร) แสดงไว้ว่า
“เราต้องเป็นคนไม่เผลอสติเลย เอาสตินิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้
เป็นกายมนุษย์นั่น ตั้งสติตรงนั้นทำใจให้หยุด ไม่หยุดก็ไม่ยอม ทำให้หยุด
ไม่เผลอทีเดียว ทำจนกระทั่งใจหยุดได้
นี่เป็นตัวสติสัมโพชฌงค์แท้ๆ ไม่เผลอเลยทีเดียว ที่ตั้งที่หมาย หรือ
กลางดวงธรรม ที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ สะดือทะลุหลังขวาทะลุซ้าย กลาง
กั๊กนั่น ใจหยุดตรงนั้น”
2.4.6 ขั้นตอนที่ 6 “เสพเสนาสนะอันสงัด”
เมื่อฝึกใจให้อยู่ที่กลางกายในทุกอิริยาบถได้ดีแล้วพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงแนะนำให้หาสถานที่
อันสงบ เพื่อฝึกสมาธิอย่างต่อเนื่องจริงจัง โดยทรงให้แนวทางไว้ว่า “เธอกลับจากบิณฑบาตภายหลังเวลา
อาหารแล้ว นั่งขัดสมาธิตั้งกายตรง ดำรงสติมั่นเฉพาะหน้า” เท่ากับว่าทรงให้วางภารกิจอื่นที่ไม่สำคัญออกไป
เมื่อฉันภัตตาหารพออิ่มสบาย ก็ให้หาสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับนั่งสมาธิเจริญภาวนาแต่เพียงอย่างเดียว
ด้วยวิธีนี้ พระภิกษุจึงมีเวลาฝึกใจให้หยุดนิ่งที่ศูนย์กลางกายได้มาก เพราะนอกจากจะปลอดจาก
ภารกิจทั้งหลาย ยังอยู่ในอิริยาบถนั่งหลับตา นำใจน้อมมาอยู่แต่ภายในตัวอย่างเดียว สิ่งล่อให้ใจไหลออก
ไปภายนอกก็ไม่มี หากพระภิกษุได้ฝึกปฏิบัติอย่างนี้ต่อเนื่องทุกวันๆ ใจของท่านย่อมตั้งมั่น หยุดนิ่งได้สนิท จิตก็
สะอาดบริสุทธิ์ผ่องใส หลุดพ้นจากนิวรณ์ได้ และหากปฏิบัติเรื่อยไป ย่อมกำจัดกิเลสทั้งปวงได้ในไม่ช้า สม
ดังที่พระองค์ตรัสไว้ว่า
“เธอกลับจากบิณฑบาต ภายหลังเวลาอาหารแล้ว นั่งขัดสมาธิตั้งกายตรง
ดำรงสติมั่นเฉพาะหน้า
พระธรรมเทศนาพระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) เรื่อง “โพชฌงคปริตร”, 24 มิถุนายน 2497, หน้า 448
46 DOU แม่บทการฝึกอบรมในพระพุทธศาสนา