ข้อความต้นฉบับในหน้า
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุเป็นธัมมัญญูอย่างไร ภิกษุในธรรมวินัยนี้
ย่อมรู้ธรรม คือ สุตตะ เคยยะ ไวยากรณะ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาตกะ
อัพภูตธรรม เวทัลละ
หากภิกษุไม่พึงรู้จักธรรม คือ สุตตะ เคยยะ ไวยากรณะ คาถา อุทาน
อิติวุตตกะ ชาตกะ อัพภูตธรรม เวทัลละ เราก็ไม่พึงเรียกว่าเป็น ธัมมัญญ
แต่เพราะภิกษุรู้ธรรม คือ สุตตะ เคยยะ ไวยากรณะ คาถา อุทาน
อิติวุตตกะ ชาตกะ อัพภูตธรรม เวทัลละ ฉะนั้นเราจึงเรียกว่าเป็นธัมมัญญ
ด้วยประการฉะนี้”
3.2.2 คำแปลและความหมาย
“ธัมมัญญู” แปลว่า ผู้รู้ธรรม
ส่วนคำว่า “ธรรม” มีหลายความหมาย ซึ่งโดยทั่วไป ใช้กันใน 2 ความหมาย คือ
1. ความดี ความถูกต้อง ความยุติธรรม
2. ความจริงตามธรรมชาติ เช่น การเกิด แก่ ตาย เป็นต้น
ในทางพระพุทธศาสนา คำว่า “ธรรม” มาจากศัพท์ว่า “ธร” ในภาษาบาลี ที่แปลว่า “ทรง”
หมายความว่า สภาพที่ทรงไว้ตามธรรมชาติของมัน แบ่งเป็นธรรม 3 ประการ คือ
1. กุศลธรรม สภาพที่ทรงไว้ซึ่งบุญ หรือความดี เช่น ความไม่โลภ ความไม่โกรธอาฆาต ความไม่หลง
2. อกุศลธรรม สภาพที่ทรงไว้ซึ่งบาป หรือความชั่ว เช่น ความโลภ ความโกรธอาฆาต ความหลง
3. อัพยากตธรรม สภาพที่เป็นกลางๆ ไม่เป็นบุญและบาป เช่น การนอนหลับ สักแต่ว่าทำ หรือ
ความไม่มีเจตนาทำ
ดังนั้น “กุศลธรรม” ก็จะทรงความดีไว้ ไม่กลายเป็นชั่ว “อกุศลธรรม” ก็ทรงความชั่วไว้ ไม่กลาย
เป็นดี ส่วน “อัพยากตธรรม” ก็จะทรงความไม่ดีไม่ชั่วอยู่ไว้ ไม่กลายเป็นดีหรือเป็นชั่วอย่างใดอย่างหนึ่ง
ส่วนธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนให้สรรพสัตว์เข้าถึง คือส่วนที่เป็น “กุศลธรรม” ซึ่ง
เป็นธรรมชาติบริสุทธิ์อยู่ภายในตัวมนุษย์ทุกคน ถ้าใครเข้าถึงธรรมนี้ได้ จะทำให้คนนั้นมีกาย วาจา ใจ ใส
สะอาดบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นเหตุให้หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง
ราชบัณฑิตยสถาน พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน, พ.ศ. 2542, (กรุงเทพฯ : นานมีบุ๊คพับลิเคชั่นส์), หน้า 553
58 DOU แม่บท การฝึกอบรมในพระพุทธศาสนา