ข้อความต้นฉบับในหน้า
7.5.1 ความสำคัญของกาลทั้ง 4
การเป็นผู้รู้จักกาล หมายถึง การรู้จักเวลาอันสมควรในการทำกิจทั้ง 4 ประการ คือ การเรียน
การสอบถาม การประกอบความเพียร และการหลีกออกเร้นให้สมบูรณ์
1) การเรียน หมายถึงการศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัย หรือคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส
สอนไว้ ซึ่งพระภิกษุต้องใส่ใจที่จะเรียนรู้ ทั้งนี้เพื่อที่จะได้ทราบว่าพระพุทธองค์ทรงสอนอะไร เพื่อจะได้นำ
มาเป็นกรอบให้กับตนเองปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง ดังนั้นในการใช้เวลาไปเพื่อการเรียนในข้อนี้จึงมีวัตถุประสงค์
อยู่ที่การเพิ่มพูนความรู้ทางธรรม หรือเพิ่มพูนความเป็น “ธัมมัญญู” ของตนเองให้สมบูรณ์
2) การสอบถาม หมายถึงการซักถามหัวข้อธรรมที่ตนสงสัย กับครูบาอาจารย์หรือผู้รู้ ซึ่ง
อาจเป็นหัวข้อธรรมที่ตนไม่เข้าใจจริงๆ
- พอเข้าใจอยู่บ้าง แต่ไม่มั่นใจว่าจะถูกต้องหรือไม่
- เข้าใจแล้ว แต่ต้องการให้ท่านขยายความให้ลึกซึ้งยิ่งๆ ขึ้นไป
ต้องการให้ท่านยืนยันในสิ่งที่ตนเข้าใจว่าถูกต้องจริงๆ
ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดพลาดคลาดเคลื่อนจากความจริงไป และเพื่อส่องให้
ตนเองเห็นแนวทางที่จะนำไปฝึกฝนอบรมตนเองได้อย่างถูกต้อง ซึ่งในการสอบถามให้บรรลุผลนี้ ต้องมี
องค์ประกอบสำคัญอย่างน้อย 2 ส่วน ดังนี้
1. “ผู้ถาม” ในที่นี้หมายเอาบุคคล 2 กลุ่ม ได้แก่
กลุ่มที่ 1 ผู้ที่เพิ่งฝึกอบรมใหม่ หมายถึงผู้ที่บวชใหม่ หรือผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นในการศึกษา และเริ่มนำ
ความรู้ที่ได้ศึกษามาฝึกหัดปฏิบัติ เพื่อขัดเกลาตนเอง ซึ่งในที่นี้ แม้จะเป็นพระภิกษุที่บวชมานาน แต่ยัง
ไม่เคยฝึกปฏิบัติตามขั้นตอนในคณกโมคคัลลานสูตรอย่างจริงจัง หรืออีกนัยหนึ่งคือยังไม่ได้เข้มงวดกวดขัน
ตนเองในเรื่อง ศีล สมาธิ ปัญญา มาเท่าที่ควรจะเป็น ก็ให้ถือว่าอยู่ในกลุ่มผู้อบรมใหม่เช่นกัน
กลุ่มที่ 2 ผู้ที่ได้ฝึกปฏิบัติจนเห็นผลมาบ้างแล้ว ในกลุ่มนี้ มักจะมีความเข้าใจในธรรมะมา ระดับ
หนึ่ง แต่ถึงอย่างไร ก็ยังไม่สามารถก้าวล่วงความสงสัยในระหว่างการฝึกไปได้เหมือนกัน โดยเฉพาะ
อย่างยิ่งในการฝึกจิต หรือการเจริญสมาธิภาวนา หากยังไม่ได้บรรลุมรรคผลอันใด ก็ยังคงต้องการ
ครูบาอาจารย์ หรือท่านผู้รู้ที่จะช่วยแนะนำ และประคับประคองให้การฝึกใจของตนก้าวหน้ายิ่งขึ้นไป
152 DOU แ ม่ บ ท การฝึกอบรมในพระพุทธศาสนา