ข้อความต้นฉบับในหน้า
“ปล่อยอารมณ์ทั้ง 6 คือ รูปารมณ์ สัททารมณ์ คันธารมณ์ รสารมณ์
โผฏฐัพพารมณ์ ธัมมารมณ์ ใจหยุด นิ่ง เฉย ไม่ไปแตะ ไปเกี่ยวกับอารมณ์
เหล่านั้น ไม่ไปกินอารมณ์เหล่านั้น ไม่ไปเอารสของอารมณ์เหล่านั้นมา
พินิจพิจารณา ปล่อยอารมณ์ทั้ง 6 เสียหมดทีเดียว ใจหยุดทีเดียว
นี้เขาเรียกว่า โผฏฺฐพฺพารมฺมณ์ กริตวา ลภติ สมาธิ ทำได้อย่างนี้ได้
ชื่อว่าได้สมาธิแล้ว”
ดังนั้น ในการนำปัจจัย 4 มาเป็นอุปกรณ์สำหรับฝึกฝนอบรมตนเอง นอกจากจะทำให้เกิดความสำรวม
ระวังใน กาย วาจา ใจแล้ว ยังทำให้กิเลสตัณหาที่เกิดมาจากปัจจัย 4 ลดน้อยลงไป ความบริสุทธิ์ของกาย
วาจา ใจ ก็เพิ่มพูนขึ้นมา คุณธรรมก็จะยิ่งเจริญก้าวหน้าทับทวีขึ้นไป
สำหรับพระภิกษุแล้ว ปกติเมื่อจะบริโภคใช้สอยปัจจัย 4 ท่านจะมีวิธีในการพิจารณาใน 3 กาล ด้วยกัน
คือ ก่อนจะใช้ ขณะที่ใช้ และหลังจากใช้ไปแล้ว ซึ่งพระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) เคยแสดงพระธรรม
เทศนาในเรื่องนี้ไว้ว่า
“จีวรเมื่อเวลาจับจีวรที่เขาถวายเข้า จีวรนี้สักแต่ว่าเป็นธาตุ เป็นปัจจัย
สักแต่ว่าธาตุ ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเขาเราใดๆ แล้วก็เป็นของว่างเปล่าไป
จีวรนี้เป็นของไม่เน่าไม่เปื่อยน่าดูน่าชมไม่สกปรกเปรอะเปื้อนใดๆ เป็นของดี
มาก พอถูกต้องร่างกายกลายเป็นของเสียหายไปได้ ไม่น่าดูน่าชมไปได้
พิจารณาจีวรอีก จีวรเมื่อเวลาจะนุ่งเข้า ไม่ได้นั่งเพื่ออื่น นุ่งเพื่อจะป้องกัน
เสียซึ่งกายหนาวแลร้อน เพื่อกันเหลือบ ยุง ตะเข็บ ตะขาบต่างๆ เพื่อจะ
ไม่ให้กามกำเริบเท่านั้น พิจารณาดังนั้นก็นุ่งห่มไป นุ่งห่มไปแล้วก็พิจารณา
แบบเดียวกันอีก ซ้ำอีก เรียกว่าอภิณหปัจจเวกขณ์ พิจารณาจีวรนุ่งห่ม
พร้อมด้วยองคคุณธาตุปัจจเวกขณ์...ก็แบบเดียวกัน...นั่งนอนเสนาสนะ
เหล่าบริโภคหยูกยาก็พิจารณา”
แต่เนื่องจากปัจจัย 4 มีความแตกต่างกันทั้งประเภท และวิธีการใช้งาน ทำให้การนำมาเป็นอุปกรณ์
สำหรับฝึกจึงต้องละเอียดอ่อนแตกต่างกันไป หากพิจารณาให้ดี จะพบว่าในบรรดาปัจจัย 4 “บิณฑบาต” หรือ
อาหาร เป็นสิ่งที่ควบคุมหรือบริหารได้ยากที่สุด
สำหรับจีวร และเสนาสนะ เมื่อมีแล้วก็สามารถใช้กันได้ยาวนาน ไม่ต้องการการบำรุงรักษามาก
นัก หรือสำหรับยารักษาโรค นานๆ จึงจะได้ใช้กันสักครั้งหนึ่ง แต่กับอาหาร พระภิกษุต้องประมาณกันใน
รูปารมณ์ สัททารมณ์ คันธารมณ์ รสารมณ์ โผฏฐัพพารมณ์ ธัมมารมณ์ เรียกว่า อารมณ์ 6 คือ สิ่งสำหรับให้จิตยึดหน่วง
128 DOU แม่บทการฝึกอบรมในพระพุทธศาสนา