ข้อความต้นฉบับในหน้า
จากตัวอย่างข้างต้น ย่อมแสดงให้เห็นว่าการนำนัยจากเสขิยวัตรที่มีในปาฏิโมกขสังวร มาฝึกฝน
ประพฤติปฏิบัติเป็นกิจวัตรประจำวัน ทำซ้ำแล้วซ้ำอีก กระทั่งถูกหล่อหลอมเข้าไปเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับ
กาย วาจา ใจของตนเอง จนเกิดสติสัมปชัญญะ มีอินทรีย์สงบสำรวม ทำจนคุ้นกลายเป็นนิสัย บุคลิกท่าทาง
ก็จะเปลี่ยนไป เกิดมาตรฐานให้กับตัวเอง ทั้งการนุ่งห่ม การเดิน การยืน การนั่ง การฉัน กิริยาอาการต่างๆ
รวมทั้งการพูดจาจะแลดูเหมาะสมไม่ว่าจะออกไปที่ใดก็จะเป็นภาพลักษณ์ของพระภิกษุผู้ฝึกตัวดีมีศีลาจารวัตร
งดงามเหล่านี้เป็นคุณธรรมที่เกิดขึ้นพร้อมกับความเป็นอัตถัญญูผู้รู้เนื้อความแห่งภาษิตนั้นๆ หรือผู้แตกฉานใน
ธรรมนั่นเอง นอกจากนี้ยังทำความเลื่อมใสศรัทธาแก่มหาชน หมู่คณะ และพระพุทธศาสนาอีกด้วย
4.6 บทสรุปของการเป็นอัตถัญญู
จากรายละเอียดที่ได้ศึกษามา พอจะสรุปในเบื้องต้นได้ว่า พระภิกษุผู้จะเป็นอัตถัญญูได้นั้น จะต้อง
1. เข้าใจนัยหรือความหมายที่แท้จริงในพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
2. สามารถนำคำสอนนั้น มาฝึกปฏิบัติจนเกิดผลเป็นความบริสุทธิ์กาย วาจา ใจ ในระดับต่างๆ
เมื่อพระภิกษุฝึกได้อย่างนี้แล้ว พระองค์จึงจะทรงรับรองว่า
“ภิกษุเป็นธัมมัญญู อัตถัญญูด้วยประการฉะนี้”
4.7 วิธีฝึกฝนอบรมตนเองของฆราวาสเพื่อการเป็นอัตตัญญู
วิธีการฝึกฝนอบรมตนเองของฆราวาสเพื่อการเป็นอัตถัญญู ก็จะมีส่วนคล้ายกับของพระภิกษุ
แต่ความเข้มข้นจะแตกต่างออกไป ดังที่จะได้กล่าวในลำดับต่อไป
4.7.1 การเข้าใจนัยได้อย่างถูกต้อง
โดยธรรมชาติแล้ว การที่ใครคนใดคนหนึ่งจะเข้าใจในนัย หรือความหมายของธรรมะได้อย่างลึกซึ้ง
เป็นไปได้ยากมาก จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องอาศัยบุคคลที่มีความรู้ผู้ซึ่งได้ศึกษาธรรมะมามาก ฝึกฝนตนเองมา
มาก มาเป็นผู้คอยแนะนำ ซึ่งบุคคลผู้นั้นก็คือ ครูผู้สอนธรรมะ หรือพระภิกษุสงฆ์ ดังนั้นวิธีการที่จะทำให้
เข้าใจนัยหรือความหมายในธรรมะให้มากยิ่งขึ้น จำเป็นต้องเข้าวัดเป็นประจำ หมั่นฟังธรรมบ่อยๆ และเมื่อเกิด
ความสงสัย ก็ต้องเข้าไปสอบถามจากท่าน เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง ขณะเดียวกันต้องลงมือปฏิบัติ
ฝึกฝนอบรมตนเองไปด้วย
82 DOU แม่บทการฝึกอบรมในพระพุทธศาสนา