ข้อความต้นฉบับในหน้า
มีการอุปมาไว้ว่า สังสารวัฏเปรียบเสมือนคุกและแต่ละภพภูมิคือกรงขัง ซึ่งมีทั้งกรงขังสำหรับ
พวกมีโทษมาก และกรงขังสำหรับพวกมีโทษน้อย จะต่างจากกรงขังในโลกตรงที่เมื่อใครเข้าสู่ภพภูมิไหนแล้ว
ก็ต้องติดอยู่ในภพภูมินั้น ๆ ไปจนกว่า
จะไม่มีการรื้อคดีขึ้นมาพิจารณาใหม่ ใครเข้าไปรับกรรมในภพภูมิใด
จะถึงกำหนดพ้นโทษตามเหตุที่ก่อมา
น
คุกคือสังสารวัฏนั้น ไม่จำเป็นต้องมีตำรวจไว้คอยไล่ล่าลากคอนักโทษเพื่อมาขังไว้ในคุก เนื่องจาก
เมื่อพ้นจากเขตขังเดิมออกไป ก็เป็นแดนเชื่อมต่อกับเขตขังใหม่ทันทีอยู่แล้ว ราวกับสังสารวัฏเป็น
ทัณฑสถานที่ไร้ทางออกอย่างสิ้นเชิง
สรรพสัตว์โดยมากในโลกคือนักโทษที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองติดคุกอยู่
ถึงแม้บางคนพอจะรู้แต่ก็ไม่รู้ทางออกจากคุกคือสังสารวัฏนี้ ส่วนใหญ่มัวแต่ติดใจเครื่องล่อในคุกคือกามคุณ
5 นาน ๆ สักครั้งที่จะมีมหาบุรุษกำเนิดขึ้นเสาะแสวงหาทางออกจากสังสารวัฏจนพบ และนำสรรพสัตว์
แหกคุกไปได้ครั้งละหยิบมือเท่านั้น
3.3.5 การพิสูจน์ความจริงเรื่องจักรวาลและภพภูมิ
คำสอนในพระไตรปิฎกนั้นมีอย่างน้อย 2 ประเภทคือ ความรู้ด้านหยาบ และความรู้ด้านละเอียด
ความรู้ด้านหยาบคือความรู้พื้นฐานทั่วไปที่มนุษย์ทุกคนสามารถศึกษาทดลองพิสูจน์ให้เห็นผลในเวลาอันรวดเร็ว
เช่น การรักษาศีล 5 เป็นเหตุให้มนุษย์ดำรงชีวิตอยู่อย่างเป็นสุข กล่าวคือ ไม่ต้องกังวลว่า จะถูกจับกุม
เพราะเหตุแห่งการลักขโมย เนื่องจากเราไม่เคยลักขโมยของใคร ไม่ต้องกังวลกับการตามจำเรื่องที่ได้
โกหกเอาไว้ เพราะเราไม่เคยโกหกใคร ไม่ต้องกังวลว่า จะประมาทเพราะเหตุแห่งสุราเพราะเราไม่ได้ดื่มสุรา
ฯลฯ
ส่วนความรู้ด้านละเอียด เช่น เรื่องนรก สวรรค์ เปรต เรื่องนิพพาน โลกันตนรก หรือคำสอนที่ว่า
คนที่เกิดมาร่ำรวยในชาตินี้นั้นเพราะในอดีตชาติได้ให้ทานแก่เนื้อนาบุญมามาก ส่วนคนที่ยากจนเพราะใน
อดีตชาติไม่ค่อยได้ให้ทาน เป็นต้น เรื่องเหล่านี้ยากแก่การพิสูจน์ ชาวโลกโดยมากจึงไม่เชื่อ และนัก
วิทยาศาสตร์โดยส่วนใหญ่ก็ไม่เชื่อในเรื่องนี้ โดยให้เหตุผลว่าไม่อาจพิสูจน์ได้ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์
จริง ๆ แล้วทัศนะของวิทยาศาสตร์นั้นมีส่วนถูกอยู่เหมือนกัน กล่าวคือ เรื่องละเอียดจำพวก นรก
สวรรค์ นิพพาน โลกันตนรก เป็นต้น ไม่สามารถพิสูจน์ได้ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ แต่ต้องพิสูจน์ด้วย
วิธีการทางพุทธศาสตร์คือ “พิสูจน์ด้วยใจ”
ในวงการวิทยาศาสตร์นั้นใช้อินทรีย์เพียง 5 ประการ ในการศึกษาทดลองและพิสูจน์ความจริง
ต่าง ๆ ในโลก คือ ตา หู จมูก ลิ้น และร่างกาย วิทยาศาสตร์กระแสหลักไม่ยอมรับอินทรีย์ที่ 6 คือ “ใจ” และ
มักคิดว่าใจเป็นส่วนหนึ่งของสมองอันเป็นส่วนของร่างกาย แต่พระพุทธศาสนายอมรับเรื่อง “ใจ” และ
ถือว่าใจนี้มีความสำคัญมาก ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของสมอง แต่เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่อิสระจากร่างกายดังได้กล่าวแล้ว
ในการพิสูจน์ความจริงต่าง ๆ ในโลกนั้นจะต้องใช้อินทรีย์ที่เหมาะกับสิ่งนั้น ๆ จึงจะพิสูจน์ได้ เช่น
1 ดังตฤณ (2548). เสียดายคนตายไม่ได้อ่าน, หน้า 165.
บ ท ที่ 3 ธ ร ร ม ช า ติ ข อ ง ชี วิ ต ท า ง พ ร ะ พุ ท ธ ศ า ส น า DOU 61