ข้อความต้นฉบับในหน้า
กล่าวถึงเท่านั้น เปรียบเสมือนนักข่าวผู้มีจรรยาบรรณนำเสนอข้อมูลไปตามเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้น
ลักษณะพิเศษของพระพุทธศาสนามีดังนี้คือ เป็นศาสนาแห่งปัญญา, องค์ความรู้ครอบคลุม
สรรพศาสตร์, คำสอนยึดหลักกรรมลิขิตไม่ใช่พรหมลิขิต และเป็นศาสนาที่ไม่ว่าร้าย ไม่ทำร้ายศาสนิกอื่น
และไม่ก่อสงคราม ลักษณะพิเศษที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือเรื่องพระศาสดา แต่จะกล่าวในหัวข้อ
พระพุทธคุณของบทที่ 5
2.5.1 เป็นศาสนาแห่งปัญญา
ศาสนาโดยส่วนใหญ่ในโลกโดยเฉพาะศาสนาเทววิทยานั้นเน้นเรื่องศรัทธา เช่น ศาสนาอิสลาม
ซึ่งเน้นศรัทธาหรือความเชื่อเป็นเรื่องสำคัญที่สุด คือ จะต้องเชื่อทุกอย่างตามที่ปรากฏในคัมภีร์อัลกุรอาน เช่น
เชื่อว่าพระอัลเลาะห์มีจริง ทรงสร้างโลกและสรรพสิ่ง ต้องเชื่อว่า คัมภีร์อัลกุรอานเป็นคัมภีร์ที่สมบูรณ์ที่สุด
ศาสนาคริสต์ก็เช่นเดียวกัน ชาวคริสต์ต้องมีศรัทธาแรงกล้า ต้องเชื่อโดยไม่สงสัย การตั้งคำถาม
ต่าง ๆ เป็นการแสดงความไม่เชื่อหรือย่อหย่อนในศรัทธา โดยเฉพาะพระคัมภีร์ไบเบิลนั้น ผู้ใดจะสงสัยหรือ
ตั้งคำถามมิได้ ในยุโรปถึงกับมีการตั้งศาลไต่สวนศรัทธา (Inquistion) ขึ้น เพื่อลงโทษผู้ที่ไม่เชื่อในพระคัมภีร์
โทษร้ายแรงที่สุดคือจับเผาทั้งเป็น ในประเทศสเปนศาลไต่สวนศรัทธาถูกสถาปนาขึ้นในปี พ.ศ. 2026
นักคิดทางวิทยาศาสตร์ถูกจับเผาทั้งเป็นตายราว 30,000 คน ข้อหาคือเสนอแนวคิดขัดแย้งกับพระคัมภีร์
แม้ต่อมาไม่นานชาวโลกและนักการศาสนาต่าง ๆ จะยอมรับกันอย่างกว้างขวางว่าความรู้นั้น ๆ ถูกต้องก็ตาม
สำหรับพระพุทธศาสนานั้นเป็นศาสนาแห่งปัญญา ยกย่องปัญญาว่าเป็นธรรมสูงสุด สังเกตได้ว่า
หลักธรรมหลายหมวดจะลงท้ายด้วยปัญญา เช่น ไตรสิกขา ประกอบด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา, อินทรีย์ 5
ประกอบด้วย ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา การจะกำจัดกิเลสอาสวะจนหมดสิ้นได้ก็ต้องอาศัยปัญญา
เป็นหลัก ส่วนศีลกับสมาธิเป็นเพียงฐานที่ทำเกิดปัญญาเท่านั้น
ในพระไตรปิฎกมีคำกล่าวยกย่องปัญญาไว้จำนวนมาก เช่น นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา แสงสว่าง
เสมอด้วยปัญญาไม่มี บุคคลผู้มีปัญญาถึงจะสิ้นทรัพย์ ก็ยังมีชีวิตอยู่ได้เป็นแน่แท้ ส่วนบุคคลผู้ไม่มีปัญญา
ถึงจะมีทรัพย์ก็เป็นอยู่ไม่ได้ ปัญญาเป็นเครื่องตัดสินสิ่งที่ตนฟังมาแล้ว เป็นเครื่องเจริญชื่อเสียงและความ
สรรเสริญ ผู้ฉลาดทั้งหลายกล่าวว่า ปัญญาแลประเสริฐที่สุด เหมือนดวงจันทร์ประเสริฐกว่าดวงดาวทั้งหลาย
3
1 รศ. ฟื้น ดอกบัว (2539), ศาสนาเปรียบเทียบ, หน้า 207-208.
- เสถียร โพธินันทะ (2539), ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา ฉบับมุขปาฐะ ภาค1, หน้า 34.
สารัตถปกาสินี อรรถกถาสังยุตตนิกาย สคาถวรรค มก. เล่ม 24 หน้า 82
* พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหากัปปินเถรคาถา มก. เล่ม 52 หน้า 348.
5 ชาตกัฏฐกถา อรรถกถาชาดก สัตตกนิบาตชาดก มก. เล่ม 59 หน้า 279.
เ ม รู้ ทั่ ว ไ ป ท า ง พระ พุ ท ธ ศ า ส น า DOU 19
บ ท ที่ 2 ค ว า ม