ข้อความต้นฉบับในหน้า
ในเมื่อพุทธวจนะมีเพียง 2 ส่วนหรือ 2 ปิฎกดังกล่าว แล้วคำว่าพระไตรปิฎกที่ชาวพุทธรู้จักกันใน
ปัจจุบันมาจากไหน
หลังพุทธปรินิพพานชาวพุทธได้ถือเอาพระธรรมวินัยเป็นหลักในการดำเนินชีวิตสืบต่อกันเรื่อยมา
แต่เนื่องจากพระธรรมวินัยดังกล่าวยังไม่ได้รับการจดบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร ถ้าไม่มีมาตรการเก็บรักษา
ที่ดี จึงเป็นไปได้ที่จะมีคำสั่งสอนบางส่วนสูญหายไป ด้วยเหตุนี้การสังคายนาจึงเกิดขึ้น
คำว่า สังคายนา แปลว่า การซักซ้อม, การสวดพร้อมกัน, การร้อยกรอง หมายถึง การที่พระสงฆ์
ประชุมกันแล้วสอบทานชำระสะสางและซักซ้อมทำความเข้าใจพระธรรมวินัยอันเป็นคำสั่งสอนของ
พระพุทธเจ้าเพื่อรักษาความถูกต้องไว้แล้วจัดเป็นหมวดหมู่พร้อมทั้งจดจำสาธยายกันไว้
การสังคายนาพระธรรมวินัยมีขึ้นหลายครั้ง แต่ที่ทุกฝ่ายทุกประเทศยอมรับ คือ การสังคายนา 3
ครั้งแรกในประเทศอินเดีย
การสังคายนาครั้งที่ 1 จัดขึ้นใกล้กรุงราชคฤห์ภายหลังพุทธปรินิพพาน 3 เดือน มีพระอรหันต์
ประชุมกัน 500 องค์ พระมหากัสสปะเป็นประธานและเป็นผู้สอบถาม พระอุบาลีตอบข้อซักถามเกี่ยวกับ
พระวินัย พระอานนท์ตอบข้อซักถามเกี่ยวกับพระธรรมคำตอบของพระอานนท์เริ่มต้นด้วยประโยคว่า “เอวัมเม
สุตัง : ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้” หมายถึง ได้สดับมาจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือ ได้สดับมาจาก
พระสาวกเช่นพระสารีบุตร เป็นต้น
การสังคายนาครั้งที่ 2 จัดขึ้นใน พ.ศ.100 ครั้งนี้ก็ยังไม่มีการแบ่งพุทธวจนะเป็นพระไตรปิฎก
อย่างชัดเจน การจัดพระธรรมวินัยเป็นรูปพระไตรปิฎก มีขึ้นในการสังคายนาครั้งที่ 3 พ.ศ. 236 ณ กรุง
ปาฏลีบุตรแห่งอินเดีย ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช
ไตรปิฎก มาจากคำบาลีว่า ติปิฎก ประกอบด้วย วินัยปิฎก สุตตันตปิฎก อภิธรรมปิฎก
ๆ
คำว่า “ปิฎก” แปลว่า “ตะกร้า” หมายถึง ภาชนะสำหรับใส่สิ่งของ คำว่าปิฎกนี้ได้นำมาใช้เป็น
ชื่อหมวดหมู่พระธรรมวินัยคือ แยกออกเป็นสามตะกร้า หรือ 3 หมวดใหญ่ ๆ นั่นเอง โดยวินัยคือคำสั่งนั้น
แยกไว้หมวดหนึ่งเรียกว่า พระวินัยปิฎก ส่วนธรรมคือคำสอนแยกออกเป็น 2 หมวด ได้แก่ พระสุตตันตปิฎก
หรือ หมวดพระสูตร คือคำสอนที่ทรงแสดงแก่บุคคลต่าง ๆ ในแต่ละโอกาส ส่วนคำสอนที่แสดงแต่ข้อธรรม
ไม่กล่าวว่าแสดงแก่ใคร ที่ไหน ได้แก่ เรื่องจิต เจตสิก รูป นิพพาน อันนี้เรียกว่า พระอภิธรรมปิฎก
ทั้งนี้พระสูตรและพระอภิธรรมก็ไม่ได้เป็นสิ่งใหม่ที่เพิ่มมาภายหลัง แต่เป็นพุทธพจน์ดั้งเดิมดังที่
บันทึกไว้ในเรื่องการจัดเสนาสนะของพระทัพพมัลลบุตรว่า “ภิกษุเหล่าใดเป็นผู้ทรงพระสูตร ท่านก็จัด
เสนาสนะรวมภิกษุเหล่านั้นไว้แห่งหนึ่ง เพื่อให้ซักซ้อมพระสูตรกัน ภิกษุเหล่าใดเป็นผู้ทรงพระวินัย ท่านก็
จัดเสนาสนะรวมภิกษุเหล่านั้นไว้แห่งหนึ่ง เพื่อให้วินิจฉัยพระวินัยกัน ภิกษุเหล่าใดเป็นผู้ทรงพระอภิธรรม
ท่านก็จัดเสนาสนะรวมภิกษุเหล่านั้นไว้แห่งหนึ่ง เพื่อให้สนทนาพระอภิธรรมกัน”
- พระธรรมกิตติวงศ์ (2548) คำวัดพจนานุกรมเพื่อการศึกษาพุทธศาสน์, หน้า 1041.
2 พระวินัยปิฎก มหาวรรค มก., เล่ม 3 ข้อ 541 หน้า 448
บทที่ 6 พระ ธ ร ร ม : คำสั่ง ส อ น ข อ ง พ ร ะ ส ม ม า สั ม พุ ท ธ เจ้า
DOU 141