ข้อความต้นฉบับในหน้า
บทที่ ๑
เรื่องโลกและชีวิตตามจริง เพราะเข้าใจผิด จึงเป็นผลให้คิดผิด พูดผิด
และทำผิด ฯลฯ ตามลำดับ
เมื่อทราบชัดถึงสาเหตุที่แท้จริงแล้ว การแก้ปัญหา จำเป็นต้องตั้ง
ตนแก้กันที่สาเหตุ โดยดำเนินกระบวนวิธีในการปฏิรูปอย่างต่อเนื่อง จึง
จะสัมฤทธิผลจริงจัง
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะดำเนินการแก้ปัญหา ก็ควรจะมีความรู้
ความเข้าใจเกี่ยวกับธรรมชาติที่แท้จริงของใจคน เพิ่มเติมอีกสักเล็กน้อย
กล่าวคือ ธรรมชาติของใจคนตั้งแต่เป็นทารกลืมตามาดูโลกนั้น มีลักษณะ
ประภัสสร ๆ คือผุดผ่อง หมดจด เป็นประกาย ใสสว่าง อาจเปรียบได้กับ
ดวงแก้วเจียระไนที่ไร้มลทิน ดวงจันทร์ หรือดวงอาทิตย์ ที่ไร้เมฆหมอก
เคลื่อนมาบดบัง แต่ทว่าความใสสว่างของดวงใจทารกแต่ละคน อาจจะ
มากน้อยแตกต่างกัน โดยมีปริมาณของกิเลสที่ซ่อนตัวแอบแฝงนิ่งสนิท
อยู่ในใจของทารกเองเป็นตัวแปรผกผัน ถ้ากิเลสมีจำนวนมาก ความใส
สว่างก็มีน้อย ถ้ากิเลสมีจำนวนน้อย ความใสสว่างก็มีมาก
ได้กล่าวแล้วว่า กิเลสเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นและฝังแน่น
อยู่ในใจของคนเรามาตั้งแต่เกิด ถ้ามีกามคุณ ๕ คือรูป รส กลิ่น เสียง
สัมผัส มาเร้าใจ กิเลสก็จะกำเริบฟูขึ้น ปกคลุมจิตใจให้มืดตื้อ มืดมิด
นั่นคือถ้าไม่ถูกสิ่งเร้ากระตุ้น กิเลสก็จะนอนนิ่งเฉยอยู่ในใจ โดยไม่แสดง
ฤทธิ์เดชใดๆ ให้ปรากฏ ใจคนเราก็จะใสสว่างเป็นปกติธรรมดาตลอดไป
๓
อรรถกถาสูตรที่ ๗ ปณิหิตอัจฉวรรค อัง.เอก.มก. ๓๒/หน้า๑๐๔
๔. ปรากฏการณ์อันเป็นธรรมดาธรรมชาติของจพิตนี้ สามารถพิสูจน์ได้ด้วยการปฏิบัติสมาธิภาวนา
จิตยิ่งสงบนิ่งได้มากเท่าใด ความสว่างก็จะทวีมากขึ้นเพียงนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรง
รู้แจ้งสัจธรรมทั้งปวง เกิดปัญญาตรัสรู้พระสัมโพธิญาณ ก็เพราะความสว่างแจ้งที่พระหทัย
ของพระองค์เองที่สามารถฆ่ากิเลสได้เด็ดขาด