ข้อความต้นฉบับในหน้า
บทที่ ๑
อย่างไรก็ตาม สาระสำคัญยิ่งของสัมมาทิฏฐิระดับที่ ๙ นี้ ก็คือ วิบาก
แห่งกรรม นรก สวรรค์ มีจริง เป็นที่อยู่ของโอปปาติกะทั้งมวล เหตุแห่ง
การเป็นโอปปาติกะ ก็คือ กรรมดีหรือชั่วที่บุคคลได้ทําแล้วอย่างมากมาย
ในโลกนี้
ผู้ที่มีความเชื่อในสาระสำคัญดังกล่าว ย่อมชื่อว่า มีความเข้าใจถูก
เป็นสัมมาทิฏฐิบุคคล ความสว่างพัฒนาขึ้นในใจมากขึ้นอีกระดับหนึ่ง ซึ่ง
จะสามารถตรองหาเหตุผลเกี่ยวกับสัมมาทิฏฐิระดับสุดท้ายได้อย่างรวดเร็ว
สัมมาทิฏฐิระดับที่ ๑๐ สมณพราหมณ์ทั้งหลาย ผู้ดำเนินไปชอบ
ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้โลกหน้าให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วยตนเองใน
โลกมีอยู่
บุคคลใจสว่างเนื่องจากได้พัฒนาสัมมาทิฏฐิให้เกิดขึ้นในใจตน จน
ถึงระดับที่ ๙ แล้ว ถ้าได้พบกัลยาณมิตรผู้ฉลาด สามารถในการอธิบาย
ชี้แนะพระธรรมคำสั่งสอนที่ลึกซึ้งขึ้น เขาย่อมจะสามารถตรองตามได้ว่า
จากประสบการณ์การพัฒนาสัมมาทิฏฐิของเขาเองนั้น ใจของเขาได้สว่าง
ขึ้น เป็นลำดับๆ แต่ยังเป็นเพียงความสว่างชนิดที่ปิดกั้นกิเลสในใจไม่ให้
กำเริบขึ้นเท่านั้น ถ้าเขาได้ลงมือปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนอย่าง
เคร่งครัด จริงจัง ต่อเนื่อง นอกจาก กาย วาจา ใจ ของเขา จะบริสุทธิ์
ยิ่งขึ้นแล้ว ความสว่างก็จะทวีความเข้ม จนเป็นความสว่างโพลง ตนเอง
ก็สามารถเห็นหรือสัมผัสความสว่างนี้ได้ด้วยตนเอง ทั้งหลับตาลืมตา
ความสว่างประเภทนี้นี่แหละที่จะช่วยส่องให้เห็นสัจธรรม ดังที่เรียกว่า
“เกิดญาณทัสสนะรู้แจ้งเห็นแจ้ง
บุคคลที่สามารถตรองด้วยเหตุผลได้เช่นนี้ ย่อมตระหนักได้ด้วย
ตนเองว่า สมณพราหมณ์ ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ จนสามารถชำระกาย วาจา
๒๕