กฎแห่งกรรมในพระพุทธศาสนา คัมภีร์ปฏิรูปมนุษย์ หน้า 36
หน้าที่ 36 / 397

สรุปเนื้อหา

บทความนี้อธิบายเกี่ยวกับกฎแห่งกรรมในพระพุทธศาสนา โดยชี้ให้เห็นว่ากรรมดีจะนำมาซึ่งผลดี และกรรมชั่วจะนำมาซึ่งผลร้าย พร้อมประโยคที่เคยกล่าวว่า 'ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว' มีกฎของเวลากรอบการให้ผลของกรรมแตกต่างกัน ก่อนที่บุคคลจะเข้าใจในเรื่องนี้ผ่านการลงมือทำและเห็นผลลัพธ์ด้วยตนเอง อธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่างกรรมและผลที่ปรากฏชัด ซึ่งยังสามารถหาความเข้าใจเกี่ยวกับกรรมดีกรรมชั่วได้อย่างถูกต้องและมั่นใจ

หัวข้อประเด็น

-กฎแห่งกรรม
-กรรมดี
-กรรมชั่ว
-ผลวิบาก
-พระพุทธศาสนา

ข้อความต้นฉบับในหน้า

๒๒ คัมภีร์ปฏิรูปมนุษย์ ผลวิบาก หมายถึง ผลของกรรมดี หรือกรรมชั่วที่บุคคลได้ทําไว้ สาระสำคัญของสัมมาทิฏฐิ ระดับที่ ๔ นี้ คือ “กฎแห่งกรรม” อัน เป็นพระธรรมคำสั่งสอนที่โดดเด่นอย่างยิ่ง เรื่องหนึ่ง ที่ชาวโลกยกย่องว่า พระพุทธศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์ เพราะเป็นคำสอนที่แสดงหลักแห่งเหตุ และผลอย่างชัดเจน สาระสำคัญของกฎแห่งกรรม ก็คือ กรรมดีย่อมให้ผลดี และกรรม ชั่วย่อมให้ผลชั่ว ดังที่มีถ้อยคำสำนวนติดปากชาวพุทธทั่วไปว่า “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” และ “หว่านพืชเช่นใด ย่อมได้ผลเช่นนั้น” บุคคลที่สามารถพัฒนาความเข้าใจถูกตลอดมาทั้ง ๓ ระดับต้นแล้ว ความมีเหตุผลของเขาย่อมจะพัฒนาขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง จนในที่สุดย่อม สามารถตรอง จนเกิดความเข้าใจถูก และมั่นใจอย่างยิ่งว่า กรรมดี กรรมชั่วที่ทำแล้ว มีผลจริง ไม่สูญเปล่า เพราะตนได้เคยกระทำและเห็น ผลจากการกระทําสิ่งเหล่านั้นมามากแล้วด้วยตนเอง ทำให้กล้าพูดได้เต็ม ปากว่า “ทำดีต้องได้ดีจริง ทำชั่วต้องได้ชั่วจริง” นั่นคือความเข้าใจถูก เกี่ยวกับเรื่องของกรรมได้เกิดขึ้นแล้ว โดยปราศจากข้อข้องใจ นอกจากนี้ยังสามารถตรองได้อีกด้วยอีกว่า ๑) การที่กรรมจะให้ผลนั้น มีเวลาเป็นเงื่อนไขสำคัญ ทำนอง เดียวกับการออกผลของต้นไม้ที่ต่างพันธุ์กัน เช่น ถ้าปลูกถั่ว ผู้ปลูกก็จะ ได้เก็บเกี่ยวผลผลิตในระยะเพียงไม่กี่เดือน แต่ถ้าปลูกมะพร้าว กว่าจะเห็นผล ก็ต้องรอกันหลายปี ๒) ตามธรรมดา คนเราย่อมเคยทำทั้งกรรมดีและกรรมชั่วไว้มากมาย ในขณะที่กรรมดีกำลังให้ผล กรรมชั่วย่อมไม่ปรากฏ ทำนองเดียวกับที่เรา เปิดไฟสว่าง ความมืดย่อมไม่ปรากฏขึ้น ในทางตรงข้าม ถ้าไฟดับเมื่อใด
แสดงความคิดเห็นเป็นคนแรก
Login เพื่อแสดงความคิดเห็น

หนังสือที่เกี่ยวข้อง

Load More