ข้อความต้นฉบับในหน้า
บทที่ ๗)
ในโลกนี้ล้วนมีแต่คนเลว จึงไม่มีความนับถือผู้อื่น ไม่มีความคิดที่จะ
ค้นหาคุณความดีของผู้อื่น มีแต่จะคอยจ้องจับผิดผู้อื่นอยู่เป็นประจำ ไม่
เว้นแม้แต่ผู้มีพระคุณต่อตน
บุคคลที่มองไม่เห็นความดีของผู้อื่น ในที่สุดก็จะกลายเป็น
คนหลงตัวเอง คิดเข้าข้างตัวเองว่าตนวิเศษกว่าใครๆ และดูหมิ่นดูแคลน
ผู้อื่น ความคิดมิจฉาทิฏฐิเช่นนี้ย่อมทำให้เขาประพฤติปฏิบัติตนไม่ถูกต้อง
ตามทำนองคลองธรรม
๒) ปากกล้าไม่เกรงกลัวใคร เพราะเหตุที่ขาดความเคารพ นับถือ
ผู้อื่น หลงคิดว่าตัวเองวิเศษกว่าใครๆ บุคคลประเภทนี้จึงพูดจาแบบ
ขวานผ่าซาก ไม่ยกย่องให้เกียรติใคร ไม่รักษาน้ำใจใคร นึกอยากจะพูด
อะไรก็พูดออกมาตามอารมณ์ ไม่ไตร่ตรองให้รอบคอบว่า คำพูดนั้นอาจ
จะเป็นการสร้างศัตรู หรือเกิดผลสะท้อนกลับมาทําลายตนในภายหลัง
เช่นพูดขัดคอหรือพูดหักหน้า พูดใส่หน้า หยามน้ำหน้า เยาะเย้ย ถากถาง
พูดสำทับเพื่อซ้ำเติมผู้ที่พลาดพลั้ง เป็นต้น ในขณะเดียวกันก็จะพูดจา
แบบยกตนขึ้นเหนือลมจนเป็นนิสัย
๓) มีพฤติกรรมมิตรเทียม แม้บุคคลประเภทนี้ จะรังเกียจ
พฤติกรรมเลวร้ายของมิตรเทียม แต่ก็มิได้หมายความว่าเขาจะไม่มี
พฤติกรรมแบบมิตรเทียมเสียเลย สบโอกาสเมื่อใด เขาก็จะแสดงธาตุแท้
ของมิตรเทียมออกมาทันที เช่น เอารัดเอาเปรียบเพื่อนฝูง ก้าวก่าย
แทรกแซงหน้าที่การงานของเพื่อนร่วมงาน เอาชนะคู่แข่งด้วยการเปิดเผย
จุดอ่อนของฝ่ายนั้น ใช้ช่องโหว่ของกฎหมายเพื่อครอบครองทรัพย์สินของ
ผู้อื่น หรือของรัฐตลอดจนทรัพยากรธรรมชาติ เช่น ที่ดิน คราใดที่
ระแวงว่าจะถูกญาติพี่น้อง สามี ภรรยา หรือเพื่อนที่เคยร่วมหัวจมท้าย
กันมาทรยศหักหลัง เขาก็จะหาทางคิดบัญชีฝ่ายนั้นเสียก่อน เป็นต้น
โดยสรุปก็คือ คนประเภทนี้แล้งน้ำใจ ขาดความจริงใจ และความเมตตา
๒๑๑