ข้อความต้นฉบับในหน้า
คัมภีร์ปฏิรูปมนุษย์
๓. สังเสทชะกำเนิด คือ เกิดในสิ่งโสโครก หรือจากสิ่งโสโครก
ในซากศพบูดเน่า ในน้ำเน่า อาหารบูดเน่า ได้แก่ จุลินทรีย์สัตว์เซลล์
เดียวชนิดต่างๆ เป็นต้น
๔. โอปปาติกะกำเนิด คือ สัตว์ที่เกิดผุดขึ้นโดยไม่ต้องอาศัยพ่อ
แม่ แต่อาศัยผลกรรมในอดีต ได้แก่ เทวดา พรหม สัตว์นรก เปรต
อสุรกาย และเมื่อเกิดแล้วก็โตทันที
กำเนิด ๓ ประเภทแรก เป็นเรื่องเข้าใจง่าย สำหรับผู้คนโดยทั่วไป
เพราะเป็นเรื่องจริงที่ได้รู้ได้เห็นกันในชีวิตประจำวัน ส่วนกำเนิดในข้อ ๔ นั้น
ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า และปัจจุบันยังไม่มีเครื่องมือวิทยาศาสตร์
ใดๆ ให้ส่องดูได้ กระนั้นก็ตาม ผู้ที่มีใจสว่าง สามารถตรองหาเหตุผล
จนเกิดความเข้าใจถูกทั้ง 4 ระดับ ดังที่ผ่านมาแล้วได้ ถ้าได้รับการ
๒๘ อธิบายชี้แนะที่เหมาะสมจากผู้มีธรรม ก็สามารถตรองตามและเกิดความ
เข้าใจได้โดยไม่ยากนัก
เช่นกรณีของผึ้งกับแมลงวัน แมลงทั้งคู่มีการเสพคุ้นต่างกัน ถ้า
นํามาขังไว้ในที่เดียวกันสักระยะหนึ่ง แล้วปล่อยออกไป แมลงทั้งสองตัว
ก็จะแยกกันไปสู่ ณ ที่ๆ มันเสพคุ้น แมลงผึ้งย่อมบินไปหาน้ำหวานตาม
ดอกไม้ ส่วนแมลงวันย่อมบินไปสู่ที่สกปรกโสโครก
บุคคลที่มีใจสว่าง ย่อมตรองได้ว่า คนดีนั้นเปรียบได้กับผึ้ง คิด
สร้างแต่กรรมดีจนคุ้นเป็นนิสัย ส่วนคนเลวนั้นเปรียบได้กับแมลงวัน
คือชอบทำแต่กรรมชั่วเป็นอาจิณ เมื่อตรองได้เช่นนี้ แม้ตนจะยังไม่เคย
เห็นโอปปาติกะ แต่ครั้นเมื่อโยงใยความรู้เรื่องกฎแห่งกรรมเข้ากับความรู้
เรื่องโลกนี้โลกหน้า ประกอบกับความรู้เรื่องวิชาชีววิทยาที่เคยเล่าเรียน
มาแต่เด็ก เกี่ยวกับจุลินทรีย์ ประเภทสัตว์เซลล์เดียว ที่ขยายพันธุ์โดย
การแบ่งเซลล์ออกไปเรื่อยๆ การโยงใยองค์ความรู้ดังกล่าวเข้าด้วยกัน ก็
จะทำให้เชื่อว่า สัตว์ที่เป็นโอปปาติกะมีจริง ตามพุทธดำรัส