ข้อความต้นฉบับในหน้า
บทที่ ๘
๓. คนดีต้องมีความสำนึกรับผิดชอบต่อศีลธรรมทางเศรษฐกิจ ด้วย
การควบคุมตนให้พ้นจากอบายมุข ๖ อบายมุข แปลว่า ทางแห่งความ
ฉิบหาย หรือเหตุย่อยยับแห่งโภคทรัพย์ มี 5 ประการ คือ หมกมุ่นอยู่
กับการดื่มน้ำเมา การเที่ยวกลางคืน การดูการละเล่น การเล่นการพนัน
การคบคนชั่วเป็นมิตร และความเกียจคร้านในการทำการงาน
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนว่า แม้อบายมุขทั้ง 5 ประเภท จะ
เป็นทางนําความฉิบหายมาสู่ตัวเราก็ตาม แต่ทรงชี้ว่า การคบคนชั่วเป็น
มิตรนั้น คือ สุดยอดแห่งความเลวร้ายในบรรดาอบายมุขทั้งปวง เพราะ
คนชั่วย่อมมีอิทธิพลชักนำเราไปสู่อบายมุขอื่นๆ ที่เหลืออีกทั้งหมดได้
เราอาจต้องกลายเป็นคนชั่วไปตลอดชีวิต เพราะไม่สามารถกลับตัวกลับใจ
เป็นคนดีได้
ใครก็ตามเมื่อชีวิตตกอยู่ในสภาพคนชั่วเสียแล้ว ในฐานะส่วนตัว
ชื่อว่าได้ปิดทางสวรรค์นิพพานของตนเองโดยสิ้นเชิง ในฐานะสมาชิกของ
สังคม จะถูกเพ่งเล็งว่าเป็นตัวอันตรายที่จะสร้างปัญหาเลวร้ายนานา
ประการให้แก่สังคม จะถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นคน "เสียชาติเกิด
คนที่ถูกสังคมตราหน้าว่าเป็นคนชั่วเสียแล้ว ย่อมหมดกำลังใจ
ทำความดี แต่จะหันไปทำกรรมชั่วต่อไปอีก ชีวิตจึงมีแต่จะตกต่ำลงเรื่อยๆ
ถึงขนาดข้ามภพข้ามชาติทีเดียว
อนึ่ง มีข้อสังเกตว่า การพนันกำลังเป็นอบายมุขที่ทำลายเศรษฐกิจ
ของผู้คนอย่างหนัก ในสังคมไทยปัจจุบัน บางคนที่เคยเป็นคนดีต้อง
กลายเป็นโจรปล้นธนาคาร เพื่อหาเงินมาใช้หนี้จำนวนมาก อันเนื่องมา
จากการเล่นการพนัน บางคนต้องสูญเสียบ้านและที่ดินเพราะการพนัน
แม้จะมีนักการพนันบางคนร่ำรวยจากการพนัน แต่ไม่ช้าไม่นานก็อาจจะ
กลายเป็นคนสิ้นเนื้อประดาตัว เพราะฤทธิ์การพนัน เข้าทำนองกงเกวียน
ก่าเกวียนนั่นเอง คือเคยล้างผลาญคนอื่นมาแล้ว ในที่สุดตัวเองก็ต้องถูก
๒๕๗