ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประโคด - พระธัมมาปติฎกษฎาแปล ภาค ๙ - หน้า 97
ธรรมะแก่นทั้ง ๒ นั้น ย่อมควร" แล้วจึงทรัศว่า "พระมหาน
บุคคลผู้ไม่กำหนด ไม่ของอยู่ในมานุสูร ชื่องว่า เป็นฎีกุ" ดังนี้แล้ว
ตรัสพระคาถานี้ว่า :-
"ความยึดถือในมานุสูรว่าเป็นของ ๆ เรา ไม่มีแก่"
ผู้ใดโดยประการทั่งปวง, อึ่ง ผู้ใด ไม่เศร้าโศก
เพราะนามูสูรนั่นไม่มีอยู่, ผู้ซั้นแล เราเรียกว่า
"กิญญู."
[แก้อรรถ]
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สพทโล คือ ในมานุสูรทั้งปวงที่เป็น
ไปแล้วด้วยอำนาจนิยน์ ๕ คือ นามบันฑ์ ๕ มีเวทนาเป็นต้น และรูป
นัน์.
บทว่า มมายติ คำว่า ความยึดถือว่า "เรา" หรือว่า "ของเรา'
ไม่มีแก่ผู้ใด.
บทพระคาถาว่า อสตา จ น โโลติ คำว่า เมื่อมานุสูร
นัน ลักษณะสิ้นและความเสื่อม ผู้ใด ข้อไม่เศร้าโศก คือ ไม่ื่อดอ
ร้อนว่า "รูปของเราสิ้นไปแล้ว ๆ ๆ ๆ วิญญาณของเรา สิ้นไปแล้ว
คือเห็น (ตามความเป็นจริง) ว่า "นามรูป ซึ่งมีความสิ้นและความ
เสื่อมไปเป็นธรรมดานี้แล สิ้นไปแล้ว."
บทว่า สะ เว เป็นต้น คำว่า ผู้คำน คือผู้เห็นปานนั้น ได้แก่
ผู้ว่านอกจากความยึดถือในมานุสูรซึ่งมุ่งว่าขั้นของเราก็ดี ผู้ไม่เศร้าโศก
เพราะนามรูปนั้น ซึ่งไม่มียกุดี ก็พระศกาตรัสเรียกว่า 'ภิกษุ'