ข้อความต้นฉบับในหน้า
3.1.3 สมัยพราหมณ์
ในสมัยนี้ พวกอารยันได้ยึดครองตอนเหนือของอินเดียทั้งหมด จึงเกิดเป็นแว่นแคว้นต่างๆ
แต่ละแคว้นต่างมีอิสระไม่ขึ้นต่อกัน เช่นแคว้นปัญจาละ แคว้นอโยธนา แคว้นกุรุเกษตร เป็นต้น
พระราชาและขุนนางผู้ใหญ่ต่างก็มีกรรมสิทธิ์ครอบครองที่ก่อจึงใช้ชีวิตอย่างมั่งคั่งฟุ่มเฟือย ส่วน
ชนชั้นกลางที่ไม่มีที่ดินต่างไปประกอบอาชีพค้าขายจนร่ำรวย พวกพื้นเมืองเดิมที่อยู่ใต้อำนาจ
ของอารยันซึ่งเรียกว่า ทัสยุ ได้กลายเป็นชนชั้นศูทร ซึ่งเป็นชั้นต่ำที่ชาติอารยันทุกชั้นจะร่วม
สมาคมไม่ได้
เนื่องจากพวกอารยันเชื่อในความขลังความศักดิ์สิทธิ์ของพระผู้เป็นเจ้า และการทำพิธีพลี
บูชาเพราะเหตุว่าถ้าการประกอบพิธีกรรมเป็นไปอย่างถูกต้องจนเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าแล้ว
จะทรงเมตตาประทานพรให้สมปรารถนาและถ้าผู้ประกอบพิธีกรรมมีความมานะพากเพียร
จนถึงที่สุดก็อาจเปลี่ยนสถานภาพจากมนุษย์ธรรมดาไปเป็นเทพเจ้าได้ ในยุคสมัยนี้พราหมณ์
เป็นผู้มีอิทธิพลสูงสุดในจิตใจของประชาชน เพราะเป็นผู้ผูกขาดความรู้ในการประกอบพิธีกรรม
และสามารถติดต่อกับพระเจ้าได้เพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น และผลจากการยกย่อง สถานภาพของ
พราหมณ์ได้ทำให้เกิดค่านิยมในการประพฤติพรหมจรรย์ และเชื่อกันว่าสามารถยกสถานะให้
เท่าเทียมกับพระราชาได้ จึงเกิดการสละครอบครัวและทรัพย์สมบัติออกบวชกันเป็นจำนวนมาก
ทำให้มีลัทธิใหม่ ๆ เกิดขึ้น สมัยนี้จึงไ
สมัยนี้จึงได้ชื่อว่าสมัยพราหมณะหรือพราหมณ์
หน้าที่ของพราหมณ์
พวกพราหมณ์เป็นชนชั้นสำคัญของสังคม มีหน้าที่เฉพาะที่ชนชั้นอื่นไม่สามารถทำหน้าที่
แทนได้ มีดังนี้คือ
1. เป็นผู้ทำพิธีกรรมทางศาสนา ซึ่งมีระบบแบบแผนที่ซับซ้อนยิ่ง เช่นพิธีกรรมในการ
ราชาภิเษกที่เรียกว่า ราชสยะ พิธีปล่อยม้าอุปการ เรียกว่า อัศวเมธ และบุรุษเมธ อันเป็นการ
บูชายัญมนุษย์ ซึ่งพิธีเหล่านี้คนทั่วไปไม่อาจทำให้ถูกต้องโดยลำพังได้
2. เป็นผู้อธิบายเทพเจ้าองค์ใหม่ที่เกิดขึ้น คือ พระพรหม เพราะแต่เดิมมาพวกพราหมณ์
ยกย่องพระอินทร์บ้าง พระรุทระบ้าง ต่อมาภายหลังความคิดได้เปลี่ยนแปลงไป โดยยกให้
พระพรหมเป็นเทพสูงสุดแต่เพียงองค์เดียว เพราะเป็นผู้สร้างโลกและสรรพสิ่ง ทรงสถิตอยู่ใน
ทุก ๆ สิ่ง พราหมณ์จึงต้องมีหน้าที่อธิบายให้ประชาชนเข้าใจ ได้รู้ซึ้งถึงอันติมสัจจ์และมรรควิธีที่
จะเข้าถึงด้วยการทำความดีและการบำเพ็ญตบะ
ศ า ส น า พ ร า ห ม ณ์ - ฮินดู DOU 53