ข้อความต้นฉบับในหน้า
(มุทรา) และจบลงด้วยการร่วมเพศ (ไมถุน)
พิธีบูชาตามลัทธิศักตินี้ ทำกันตามเทวาลัยที่นิยมบูชาเจ้าแม่ในเวลาเที่ยงคืน บาง
พวกนิยมทำในที่ลับ บางพวกนิยมทำในที่เปิดเผย โดยพิธีกรประจำเทวาลัย ฝ่ายชายเป็นนักบวช
เรียกว่า “สาธุ” ฝ่ายหญิง เรียกว่า “เทพทาสี”
ลัทธิศักติเริ่มต้นทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย (แถบแคว้นเบงกอล เนปาล
และอัสสัม) ซึ่งเป็นเขตที่มีประชากรหลายชาติ เช่น มอญ เขมร พม่า ธิเบต และไทย อาศัยอยู่
3.2 ลัทธิภักติ คำว่า “ภักติ” ในที่นี้หมายถึงการบูชาพระภควาน คือ พระผู้ควรบูชา
ลัทธินี้มีความเชื่อว่า พระเจ้าจะประทานพรแก่ผู้บูชาพระองค์ด้วยการถวายความจงรักภักดีแด่
พระองค์ด้วยความจริงใจเท่านั้น ดังนั้นพิธีกรรมใด ๆ จึงไม่มีความสำคัญเท่าความภักดี ความ
ภักดีนี้จะแสดงต่อเทพเจ้าองค์ใดที่ตนนับถือก็ได้ เช่น พระวิษณุ พระกฤษณะ พระราม และพระ
ศิวะ ฯลฯ เป็นต้น กฎเกณฑ์ที่ต้องปฏิบัติมี 5 ประการ คือ
ศานติ คือ ระลึกถึงพระเจ้าด้วยความสงบ
ทาสยะ
สาขยะ
คือ การมอบกายถวายชีวิตรวมทั้งจิตวิญญาณ
คือ การใกล้ชิดกับพระเจ้าเหมือนใกล้ชิดเพื่อน
วาต์ศัลยะ คือ
การมีความรักเหมือนอย่างเด็กรักมารดา
หาธรยะ คือ การมีความรักต่อพระเจ้าเหมือนความรักของหญิงรักกับชายคู่รัก
ลัทธิภักติทางใต้มีท่านมาณิกกะเป็นหัวหน้า บูชาพระศิวะซึ่งเรียกว่า “ไศวะนิกาย
ส่วนภาคเหนือของอินเดียมีท่านนิมพารกะเป็นหัวหน้าลัทธิภักติซึ่งนับถือพระกฤษณะ และนาง
ราธาชายาของพระกฤษณะ
4. มีการก่อสร้างเทวสถานใหญ่โต ประดับประดาอย่างวิจิตร เกิดขึ้นตามนครใหญ่ๆ ทั่วไป
การนำเทวรูปออกแห่แหนด้วยกระบวนแห่เริ่มนิยมทำกันในสมัยนี้
อนึ่ง ตอนปลายของสมัยนี้ยังเกิดลัทธิค่านิยมทางสังคม คือ การเผาหญิงม่ายพร้อมศพสามี
และยกย่องหญิงที่ทำตามประเพณีนี้ว่าเป็นผู้กล้าหาญ เรียกหญิงนั้นว่า “สติ” หากหญิงใด
ไม่ยอมทำตามประเพณีจะถูกญาติขอร้อง แต่ถ้าไม่ทำจะถูกสังคมตราหน้าว่าเป็นคนไม่ดีและ
หญิงนั้นต้องถือพรหมจรรย์ตลอดชีวิต
ศ า ส น า พ ร า ห ม ณ์ - ฮินดู DOU 65