ข้อความต้นฉบับในหน้า
5.4.4 อริยสัจ 4'
อริยสัจ แปลว่า
ความจริงอันประเสริฐหรือความจริงของพระอริยบุคคล เพราะ
ผู้ใดรู้อริยสัจด้วยญาณ ผู้นั้นก็กลายเป็นผู้ประเสริฐหรือพระอริยบุคคลทันที อริยสัจจึงเป็นหัวใจ
ของศาสนาพุทธเป็นความจริงขั้นสูงสุดที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงค้นพบ หรือตรัสรู้มี 4 ประการ
ดังต่อไปนี้
1. ทุกข์ หรือ ทุกขอริยสัจ แปลว่า สภาพที่ทนได้ยากทั้งทางกายและทางใจ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงรู้แจ้งในความจริง อันได้แก่ ทุกข์ และทุกข์อันเป็นความจริงนี้หมาย
ถึงสภาพที่ทนได้ยากทางกายเรียกว่า ทุกข์กาย และสภาพที่ทนได้ยากทางใจเรียกว่า ทุกข์ใจ
ทุกข์ตามความหมายนี้แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังต่อไปนี้
1) สภาวทุกข์ คือ ทุกข์โดยสภาพ อันได้แก่ ทุกข์ประจำสังขาร 3 อย่าง คือ ทุกข์
คือความเกิด ทุกข์คือความแก่ และทุกข์คือความตาย
2) ปกิณกกทุกข์ คือ ทุกข์เบ็ดเตล็ดหรือทุกข์จร อันได้แก่ ทุกข์ที่เกิดมีขึ้นภายหลัง
มี 8 อย่าง คือ ความเศร้าโศก ความคร่ำครวญ ความไม่สบาย ความไม่สบายใจ ความคับแค้นใจ
ความพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก ความประสบกับสิ่งอันไม่เป็นที่รัก และความไม่สมปรารถนา
ผู้ศึกษาอาจสังเกต สภาวทุกข์ และปกิณกกทุกข์ ได้ว่า กระบวนการแห่งชีวิตต้อง
เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา ทั้งทางกายภาพ อันได้แก่ ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย
และทางจิตภาพ อันได้แก่ ความเศร้าโศก ความคับแค้นใจ ความพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก
ความไม่สมปรารถนา เป็นต้น ล้วนก่อให้เกิดความทุกข์ในรูปแบบต่าง ๆ กล่าวโดยสรุปว่าภาวะ
ที่จิตหลงผิดไม่เข้าใจความจริงตามสภาวะธรรม จึงยึดติดร่างกายและความคิดต่าง ๆ นั่นคือ
ความทุกข์
ศาสนาพุทธสอนให้มองโลกตามความเป็นจริงว่า โลกที่เราเห็นอยู่นี้เป็นความจริง
อย่างนี้ ชีวิตมนุษย์มีความเป็นจริงอย่างนี้ หากเราไม่ยอมรับความจริงที่ปรากฏอยู่เราจะแก้
ปัญหาไม่ถูกจุด และแก้ไม่ได้ตลอดกาล
ศาสนาพุทธสอนว่า ความทุกข์เป็นสิ่งที่พึงจะเรียนรู้และทำความเข้าใจเพื่อหาทางแก้
พระพุทธเจ้าได้ทรงชี้แจงให้เห็นว่า มนุษย์กำลังป่วย ถ้ามนุษย์เข้าใจผิดคิดว่าตนไม่ป่วย อาการ
อาจจะหนักขึ้นเรื่อย ๆ เพราะความประมาทจนถึงแก่ชีวิต ถ้ามนุษย์เข้าใจผิดคิดว่าอาการป่วย
1
หน้า 528.
มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม 19. อริยสัจ 4, 2539
152 DOU ศ า ส น ศึกษา