ข้อความต้นฉบับในหน้า
ส่วนที่สำคัญ ชีวิตราชการทำให้ขงจื้อได้เห็นความเหลวแหลก ความไม่ยุติธรรมของข้าราชการ
ข้อนี้เป็นแรงดันให้ขงจื้อคิดแก้ไขความเหลวแหลกทั้งหลายในแผ่นดิน
ในขณะที่ขงจื้อมีความตั้งใจจะแก้ไขความประพฤติของข้าราชการ และใคร่จะสั่งสอน
คนให้เป็นพลเมืองดีเพื่อช่วยเหลือบ้านเมือง พอดีเกิดความผันผวนขึ้นในบ้านเมือง เจ้าผู้ครอง
นครลู่ต้องหลบภัยการเมืองออกจากแคว้นนั้นไป ขงจื้อหลบภัยตามไปด้วย มีข้าราชการผู้
ซื่อสัตย์หมู่หนึ่งขอเป็นศิษย์ติดตาม เพราะเลื่อมใสอยากจะทำราชการอยู่ใกล้กับขงจื้อ
ชีวิตในตอนหลังระหกระเหินมากขงจื้อเข้ารับราชการอยู่กับผู้ครองแคว้นอีกแห่งหนึ่ง
คือ แคว้นจีมีความสนใจในเรื่องการบ้านการเมือง ต้องการจะให้รัฐบาลปกครองคนด้วยความ
ผาสุก ขงจื้อ วางหลักการปกครองไว้เช่นที่ว่า “วิธีจะมีรัฐบาลที่ดี ผู้ปกครองควรต้องเป็นผู้
ปกครองจริงๆ เสนาบดีต้องทำหน้าที่เสนาบดี พ่อต้องทำหน้าที่ของพ่อ ลูกต้องทำหน้าที่ของลูก”
“ประชากรเป็นส่วนสำคัญที่สุดของรัฐ สวรรค์ย่อมเห็นตรงกับมหาชนเสมอ สวรรค์ฟังเหมือน
กับมหาชนฟัง ฉะนั้นผู้ปกครองรัฐหรือประเทศจะต้องเอาชนะใจประชาชนเสียก่อนแล้วจึงจะได้
อาณาจักร หากไม่เอาชนะใจของประชาชนแล้วอาณาจักรก็จะหลุดลอยไปเท่านั้น” “ประโยชน์
ยิ่งใหญ่ที่สุดรัฐบาลใดๆ ควรจะได้ ไม่ใช่มาจากการเก็บภาษีอากรอันเป็นที่เดือดร้อนของ
ประชาชน แต่ประโยชน์ต้องมาจากคนทั้งหลายที่มีความประพฤติดีมีความเชื่อว่ารัฐบาล
ปกครองด้วยดี” หลักการปกครองหรือหลักรัฐศาสตร์ของขงจื้อนี้ ในตอนแรกก็ไม่ค่อยได้รับ
ความเอาใจใส่มากนัก แต่ขงจื้อมีความพยายามสอนคนอยู่เสมอ ไม่เคยทอดทิ้งหน้าที่ครูสอน
เรื่อยไป จนมีศิษย์ในเวลานั้นประมาณ 3,000 คนและศิษย์ส่วนมากมาจากตระกูลยากจน ไม่ใช่
เฉพาะสอนหลักรัฐศาสตร์เท่านั้น ที่เน้นมากก็คือ ศีลธรรม ต้องการที่จะจรรโลงประเทศให้มี
ความเจริญด้วยศีลธรรม เป็นการแก้ไขปัญหาสังคม เช่น ได้วางหลักสายสัมพันธ์ 5 ประการให้
คนรู้จักหน้าที่ที่พึงปฏิบัติต่อกัน จนถึงกับได้ตั้งโรงเรียนสอนจริยธรรมขึ้น ขงจื้อจึงกลายเป็น
อาจารย์คนแรกที่ได้สั่งสอนวิชาศีลธรรมวัฒนธรรมและปรัชญาอย่างจริงจังในสมัยนั้น ศิษย์
ของขงจื้อก็ทวีมากขึ้นโดยลำดับ หลักปรัชญาที่ขงจื้อสอนเช่นที่ว่า “ถ้าท่านยังไม่รู้ความเกิด จะ
ไปรู้ความตายได้อย่างไร “ถ้าท่านไม่อยากให้คนอื่นทำอันตรายแก่ท่าน ท่านก็อย่าไปทำ
อันตรายแก่คนอื่น” ยิ่งวันผ่านไปความพยายามของขงจื้อก็ไม่เคยย่อหย่อน และศิษย์ก็เพิ่มมาก
ขึ้นเรื่อย ๆ จนมีชื่อเสียงขจรขจายไปไกล ในที่สุดบ้านเมืองเห็นความดีจึงแต่งตั้งขงจื้อให้เป็นผู้
มีหน้าที่ตรวจราชการฝ่ายยุติธรรมตามหัวเมืองต่าง ๆ ปรากฏว่าขงจื้อยิ่งมีโอกาสได้ศึกษาความ
เป็นไปในชีวิตของคนและการบ้านเมืองในที่ต่าง ๆ เมื่อไปตรวจราชการ เป็นเสมือน
มหาวิทยาลัยเคลื่อนที่ แห่งใดมีการปกครองดีขงจื้อก็ส่งเสริม แห่งใดมีการปกครองไม่ยุติธรรม
ศ า ส น า ข ง จื้อ DOU 223